เมียนมาระอุ ทหารสังหาร-เผาพลเรือน


โดย PPTV Online

เผยแพร่




สถานการณ์ในเมียนมายังคงน่าเป็นกังวล เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ริมชายแดน ทำให้ชาวเมียนมาหลบหนีเข้ามายังฝั่งชายแดนไทยอย่างต่อเนื่องในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อวันเสาร์ก็เกิดเหตุการณ์สังหารและเผาพลเรือนในรัฐกะยา ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศและต่างชาติออกมาประณามการกระทำดังกล่าว

มาร์ติน กริฟฟิธส์ รองเลขาธิการสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ ทวิตข้อความเมื่อวานนี้ บอกว่าเขารู้สึกตกใจกับรายงานที่ว่า มีพลเรือนอย่างน้อย 35 คนถูกกองกำลังทหารเมียนมาสังหารและจุดไฟเผา จนร่างกายไหม้เกรียม ใกล้กับหมู่บ้านโมโซ เมืองพะยูโซ รัฐกะยา ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา 

โดยเจ้าหน้าที่สองคนของหน่วยงานเซฟเดอะชิลเดร้น ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหรือ ngo ยังคงสูญหาย หลังจากยานพาหนะของพวกเขาเป็นหนึ่งในยานพาหนะที่ถูกโจมตีและเผาจนไหม้ในรัฐกะยา

เตือนไม่กี่วัน 1 ใน 10 ของชาวยุโรปจะติดโควิด

ดินถล่มในเหมืองหยกเมียนมา เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คน สูญหาย 70

จองวัคซีน "ไฟเซอร์" ผ่านแอปศิริราชคอนเน็ค เริ่ม 27 ธ.ค. 64 - 14 ม.ค. 65

รองเลขาธิการสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติยังได้ประณามเหตุการณ์ดังกล่าว และขอประณามการโจมตีทุกเหตุการณ์ต่อพลเรือนภายในเมียนมา ซึ่งละเมิดกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เขายังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของเมียนมาเข้าไปสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างโปร่งใสในทันที และนอกเหนือไปกว่านั้น เขาเรียกร้องให้ทหารเมียนมา และทุกกลุ่มติดอาวุธในเมียนมา ใช้มาตรการเพื่อปกป้องชีวิตพลเรือนจากอันตราย

ชาวเมียนมาเชื้อสายกะเหรี่ยงหนีภัยสงครามทะลักเข้าไทยนับพันคน

ขณะที่สถานทูตสหรัฐฯประจำเมียนมาออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า  รู้สึกตกใจต่อรายงานการสังหารประชาชนอย่างน้อย 35 คนในรัฐกะยา ซึ่งมีเด็กและผู้หญิงรวมอยู่ด้วย

ขณะที่สื่อทางการเมียนมา รายงานอ้างกองทัพที่ระบุถึงเหตุการณ์ในรัฐกะยาว่า ทหารของกองทัพยิงและสังหารผู้ก่อการร้ายติดอาวุธจำนวนหนึ่ง ซึ่งมาจากกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในหมู่บ้าน โดยผู้คนเหล่านี้อยู่บนยานพาหนะ 7 คันและไม่ยอมหยุดรถตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่

อย่างไรก็ตาม สื่อและสำนักข่าว ไม่สามารถติดต่อกองทัพเมียนมา เพื่อขอความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวได้ในทันที

ด้านกองกำลังป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNDO) หนึ่งในกองกำลังพลเรือนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดากองกำลังต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา ยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตไม่ใช่สมาชิกของกลุ่ม แต่เป็นพลเรือนซึ่ง กำลังแสวงหาที่หลบภัยจากความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นในประเทศนับตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ขณะที่องค์กรเซฟ เดอะ ชิลเดรนของสหราชอาณาจักร ออกมาระบุว่า เจ้าหน้าที่เมียนมา 2 คนของกลุ่ม หายตัวไป หลังการพบศพผู้พลัดถิ่นที่ถูกสังหารและถูกเผาร่างกว่า 30 คน ปรากฏเป็นข่าว และยานพาหนะของพวกเขาเป็นหนึ่งในรถยนต์หลายคันที่ถูกเผาจนเสียหายด้วย

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่นานหลังจากที่เพิ่งมีรายงานว่า ทหารของกองทัพสังหารชาวบ้าน 11 คน และมีเด็กรวมอยู่ด้วย 5 คน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตสะกาย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ก่อนจุดไฟเผาร่างคนเหล่านี้ เพื่อตอบโต้ชาวบ้านที่ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาคมโลก

ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยังมีอีกหนึ่งกระแสที่ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะก่อนถึงวันเทศกาลคริสต์มาส มีภาพว่าพระคาร์ดินัลชาร์ลส์ โบ ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกระดับสูงในเมียนมา ร่วมตัดเค้กคริสต์มาสกับนายพลมิน อ่องหล่ายเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยหนังสือพิมพ์ Global New Light of Myanmar  ซึ่งเป็นสื่อที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลทหาร รายงานข่าวว่า นายพลมิน อ่อนหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารในเวลานี้  และพระคาร์ดินัลชาร์ลส์ โบ ร่วมรับฟังบทเพลงคริสต์มาสด้วยกัน และยังพูดคุยเกี่ยวกับสันติภาพและความมั่งคั่ง

รายงานระบุว่า พระคาร์ดินัลชาร์ลส์ ทรงได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในปี 2015 ได้โพสต์ภาพจากการพบปะกับนายพลมิน อ่องหล่ายในทวิตเตอร์ส่วนตัว แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่ยิ้มแย้มในระหว่างการตัดเค้กคริสต์มาส ซึ่งยังมีการรายงานด้วยว่า นายพลมิน อ่องหล่ายได้บริจาคเงินเป็นจำนวน 20 ล้านจ๊าต หรือราวๆ 3 แสน 7 หมื่นบาท ประเด็นที่หลายฝ่ายไม่พอใจคือไม่ต้องการให้ผู้นำทางศาสนาไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

ขณะที่ในวันนี้ จะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับนางออง ซาน ซูจี เกิดขึ้น เพราะเธอเตรียมขึ้นศาล เพื่อรับฟังคำตัดสินในข้อกล่าวหาการลักลอบนำเข้า ครอบครองเครื่องรับส่งวิทยุสื่อสารที่ไม่มีใบอนุญาติและเครื่องรบกวนสัญญาณ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดเป็นเวลา 3 ปีและ 1 ปี ตามลำดับ หลังจากศาลเลื่อนการไต่สวนจากกำหนดเดิม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา

สื่อและกลุ่มสิทธิมนุษยชนกะเหรี่ยง เปิดข้อมูลกองทัพเมียนมาเผาร่างผู้พลัดถิ่นกว่า 30 คน

ก่อนหน้านี้ นางซูจี เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ วัย 76 ปี และอดีตประธานาธิบดีวิน มยินต์ รับโทษจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ในความผิดฐานละเมิดกฎหมายภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการยุยงปลุกปั่นให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านกองทัพ ก่อนที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะลดหย่อนโทษ เหลือจำคุกเพียงคนละ 2 ปี ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม

สถานการณ์ที่โกลาหลในประเทศเมียนมา และการปราบปรามประชาชนในหลายพื้นที่ของกองทัพเมียนมา ซึ่งทางกองทัพระบุว่า เป็นการปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย ก็ส่งผลมาถึงบ้านเรา เพราะว่ามีชาวเมียนมาที่เขาหลบหนีความรุนแรงในประเทศ หนีข้ามพรมแดนเข้ามาเพื่อความปลอดภัย

ชาวเมียนมาจูงมือลูกหลาน แบกข้าวของ เดินเท้าข้ามแม่น้ำและเข้ามายังชายแดนไทยที่บริเวณอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยเมื่อวานนี้ ประเทศไทยได้เสริมการลาดตระเวนความมั่นคงในพื้นที่ส่วนเหนือของประเทศ เพื่อรับมือกับจำนวนผู้อพยพมหาศาลที่หลบหนีความรุนแรงภายในประเทศเมียนมาเข้ามา

 โดยเจ้าหน้าที่ของไทยออกแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า มีระเบิดสามลูก ไม่ทราบฝ่าย ตกเข้ามายังฝั่งไทย ซึ่งหนึ่งในนั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของราษฎรไทย แต่ไม่ได้ทำให้มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ โดยแถลงการณ์ดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ออกมาพร้อมกับวิดีโอของตำรวจตระเวนชายแดนที่เข้าไปตรวจสอบบริเวณหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมชายแดนในรถหุ้มเกราะ

ทั้งนี้ สถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมาตกอยู่ในภาวะโกลาหล นับตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยอ้างว่า รัฐบาลของนางออง ซาน ซูจี โกงการเลือกตั้งส่งผลทำให้ประชาชนออกมาเดินขบวนประท้วงต่อต้านระบอบเผด็จการทั่วประเทศ และถูกกองทัพใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,300 คนและอีกกว่า 8 พันคนถูกจับกุมคุมขัง ตลอดระยะเวลาเกือบ 11 เดือนที่ผ่านมา

TOP ต่างประเทศ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ