
สื่อและกลุ่มสิทธิมนุษยชนกะเหรี่ยง เปิดข้อมูลกองทัพเมียนมาเผาร่างผู้พลัดถิ่นกว่า 30 คน
เผยแพร่
สื่อและกลุ่มสิทธิมนุษยชนท้องถิ่น เผยทหารเมียนมาก่อเหตุสังหารและจุดไฟเผาร่างผู้พลัดถิ่น เสียชีวิตกว่า 30 ศพ ในจำนวนนี้มีเด็กและผู้หญิง รวมอยู่ด้วย
รายงานของสื่อและกลุ่มสิทธิมนุษยชนกะเหรี่ยงเปิดเผยว่า พบศพผู้พลัดถิ่นในประเทศกว่า 30 คน รวมถึง เด็ก ผู้หญิงและผู้สูงอายุ ซึ่งถูกกองกำลังทหารเมียนมาสังหารและจุดไฟเผา จนร่างกายไหม้เกรียม ใกล้กับหมู่บ้านโมโซ เมืองพะยูโซ รัฐกะยา ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ เมื่อวานนี้
แถลงการณ์ของกลุ่มสิทธิมนุษยชนกะเหรี่ยง ระบุว่า ทางกลุ่มขอประณามอย่างรุนแรงต่อการสังหารที่ไร้มนุษยธรรมและโหดร้ายทารุณ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ม็อบเมียนมาสู้ไม่ถอย หลังนองเลือดดับแล้ว 114 ศพ นานาชาติรุมประณามรัฐบาลทหาร
กองทัพเมียนมา ปราบม็อบ ยอดตายทะลุ 500 ราย ถูกจับกว่า 2 พันคน
ขณะที่สื่อทางการเมียนมา รายงานอ้างกองทัพที่ระบุว่า ทหารของกองทัพยิงและสังหารผู้ก่อการร้ายติดอาวุธจำนวนหนึ่ง ซึ่งมาจากกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในหมู่บ้าน โดยผู้คนเหล่านี้อยู่บนยานพาหนะ 7 คันและไม่ยอมหยุดรถตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตาม สื่อและสำนักข่าว ไม่สามารถติดต่อกองทัพเมียนมา เพื่อขอความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวได้ในทันที
ด้านกองกำลังป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNDO) หนึ่งในกองกำลังพลเรือนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดากองกำลังต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา ยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตไม่ใช่สมาชิกของกลุ่ม แต่เป็นพลเรือนซึ่ง กำลังแสวงหาที่หลบภัยจากความขัดแย้ง ที่เกิดขึ้นในประเทศนับตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ขณะที่องค์กรเซฟ เดอะ ชิลเดรนของสหราชอาณาจักร ออกมาระบุว่า เจ้าหน้าที่เมียนมา 2 คนของกลุ่ม หายตัวไป หลังการพบศพผู้พลัดถิ่นที่ถูกสังหาร และถูกเผาร่างกว่า 30 คน ปรากฎเป็นข่าว และยานพาหนะของพวกเขาเป็นหนึ่งในรถยนต์หลายคันที่ถูกเผาจนเสียหายด้วย
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่นานหลังจากที่เพิ่งมีรายงานว่า ทหารของกองทัพสังหารชาวบ้าน 11 คน และมีเด็กรวมอยู่ด้วย 5 คน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตสะกาย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ก่อนจุดไฟเผาร่างคนเหล่านี้ เพื่อตอบโต้ชาวบ้านที่ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาคมโลก
ก่อนหน้านี้นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวระหว่างปฏิบัติภารกิจเดินทางเยือนมาเลเซีย เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาว่าจะดำเนินมาตรการใดเพิ่มเติม เพื่อตอบโต้รัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา ต่อปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา
ขณะที่ในวันจันทร์ที่ 27 ธันวาคมนี้ นางออง ซาน ซูจี เตรียมขึ้นศาล เพื่อรับฟังคำตัดสินในข้อกล่าวหาการลักลอบนำเข้า ครอบครองเครื่องรับส่งวิทยุสื่อสารที่ไม่มีใบอนุญาตและเครื่องรบกวนสัญญาณ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดเป็นเวลา 3 ปีและ 1 ปี ตามลำดับ หลังจากศาลเลื่อนการไต่สวนจากกำหนดเดิม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ นางซูจี เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ วัย 76 ปี และอดีตประธานาธิบดีวิน มยินต์ รับโทษจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ในความผิดฐานละเมิดกฎหมายภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการยุยงปลุกปั่นให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านกองทัพ ก่อนที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะลดหย่อนโทษ เหลือจำคุกเพียงคนละ 2 ปี ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม
ทั้งนี้ สถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมาตกอยู่ในภาวะโกลาหล นับตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน โดยอ้างว่า รัฐบาลของนางออง ซาน ซูจี โกงการเลือกตั้ง แม้ผู้สังการณ์ระหว่างประเทศ จะระบุว่า การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ส่งผลทำให้ประชาชนออกมาเดินขบวนประท้วงต่อต้านระบอบเผด็จการทั่วประเทศ และถูกกองทัพใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,300 คนและมีผู้ถูกจับกุมคุมขังอีกหลายพันคน ตลอดระยะเวลาเกือบ 11 เดือนที่ผ่านมา
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร Add friend ได้ที่ @PPTVOnline