วันนี้ 14 มี.ค. เป็นวันครบรอบวันเกิด 143 ปี ของ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)” หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องจากทั้งโลก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้คิดค้นอาวุธมหาประลัยอย่าง “อาวุธนิวเคลียร์” ขึ้นมา
อาวุธนิวเคลียร์กำลังเป็นที่พูดถึงในปัจจุบัน จากสถานการณ์วิกฤตรัสเซีย-ยูเครนที่มีแนวโน้มว่า อาจลุกลามบานปลายจนเกิดเป็น “สงครามนิวเคลียร์” ในท้ายที่สุด
ปูตินสั่งหน่วยรบนิวเคลียร์ “เตรียมพร้อมต่อสู้” ส่อเค้าสงครามนิวเคลียร์
นิวมีเดีย พีพีทีวี ชวนย้อนดูเรื่องราวการค้นพบของไอน์สไตน์โดยสังเขป เพื่อพิจารณาว่า แท้จริงแล้ว ไอน์สไตน์สมควรถูกตราหน้าอย่างรุนแรงเช่นนี้หรือไม่
ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ปฏิกิริยาฟิชชัน พลังงานนิวเคลียร์
สำหรับประวัติโดยย่อของไอน์สไตน์ คือเขาเกิดเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 1879 หรือเมื่อ 143 ปีก่อน ที่เมืองอุลม์ ในจักรวรรดิเยอรมนี เป็นบุตรของช่างวิศวกรไฟฟ้าชาวยิว มีความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์เป็นเลิศตั้งแต่เด็ก ในระดับที่เริ่มเรียนแคลคูลัสด้วยตัวเองตั้งแต่อายุ 12 ปี
ในปี 1894 อายุ 15 ปี ครอบครัวไอน์สไตน์ย้ายไปยังอิตาลี และทำให้อัลเบิร์ตได้ศึกษาต่อที่อาเรา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และในปี 1896 เมื่ออายุ 17 ปี เขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสารพัดช่างแห่งสหพันธรัฐสวิสในซูริก เพื่อรับการฝึกอบรมเป็นครูสอนวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์
กระทั่งในปี 1901 เขาได้ประกาศนียบัตร ได้สัญชาติสวิส และเนื่องจากเขาไม่สามารถหาตำแหน่งการสอนได้ เขาจึงรับตำแหน่งผู้ช่วยด้านเทคนิคในสำนักงานสิทธิบัตรสวิส และในปี 1905 เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก) จากมหาวิทยาลัยซูริก
ในปีเดียวกันนั้น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยังได้ตีพิมพ์บทความเชิงทฤษฎีจำนวน 4 ฉบับ ซึ่งถูกเรียกว่า “บทความปีปาฏิหาริย์ (Annus Mirabilis papers)” ซึ่งมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการพัฒนาของความรู้ฟิสิกส์สมัยใหม่
ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับนิวเคลียร์ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ อยู่ในบทความฉบับที่ 4 ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า “ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ” ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ เวลา (Time) และปริภูมิ (Space) ที่ทำให้เกิดสมการชื่อดังอย่าง E = mc2 หรือที่บางคนก็เรียกว่า สมการมวล-พลังงาน (Mass-Energy Equation) ซึ่งบอกว่า พลังงาน (E) กับมวล (m) เป็นของสิ่งเดียวกันที่แปลงกลับไปกลับมากันได้ โดย c คือความเร็วแสง
ในปี 1938 หรือราว 30 ปีต่อมา สมการนี้ได้นำไปสู่การทดลองแบ่งแยกนิวเคลียสในอะตอม หรือที่เรียกว่า ฟิชชัน (Fission) โดยนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ ออตโต ฮาน (Otto Hahn) กับ ฟริตซ์ ชตราสมันน์ (Fritz Strassmann) สามารถสร้างปฏิกิริยาฟิชชันในยูเรเนียมได้สำเร็จ
ฟิชชันเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่แบ่งนิวเคลียสออกเป็น 2 ส่วนที่มีขนาดและมวลใกล้เคียงกัน โดยมีมวลของนิวเคลียสหายไปเล็กน้อย ซึ่งปฏิกิริยาฟิชชันนี้ทำให้เกิดพลังงานมหาศาล ที่เราเรียกกันว่า “พลังงานนิวเคลียร์” นำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือการผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
กาชาดสากลชี้เมืองมาริอูโปลของยูเครน เผชิญวิกฤตมนุษยธรรม
ไอน์สไตน์เกี่ยวพันกับอาวุธนิวเคลียร์ แค่ “ลายเซ็นเดียว”
หลังจากที่มีการค้นพบพลังงานนิวเคลียร์นี้ โลกก็เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945) พอดี ทำให้นักนิวเคลียร์ฟิสิกส์จำนวนมากที่หนีภัยสงครามจากยุโรปมาพำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ต่างกลัวกันว่า นาซีเยอรมนี ภายใต้การนำของผู้นำ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ในสงคราม
พวกเขาจึงพยายามโน้มน้าวสหรัฐฯ ให้เร่งค้นคว้าการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ให้ได้ก่อนเยอรมนี และได้ไปขอร้องให้ไอน์สไตน์ออกหน้าลงนามในจดหมายถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น คือ แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์
ไอน์สไตน์คล้อยตาม และยอมลงชื่อในจดหมาย ซึ่งมีผลให้รูสเวลต์สั่งตั้งคณะที่ปรึกษาพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมา โดยที่ไอน์สไตน์ “ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะที่ปรึกษานี้” และไม่มีส่วนร่วมในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ใด ๆ ทั้งสิ้น
จึงกล่าวได้ว่า ความเกี่ยวพันเดียวที่ไอน์สไตน์มีต่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ อยู่ที่การลงนามเพียงครั้งเดียวของเขา ที่ทำให้สหรัฐฯ ตั้งคณะที่ปรึกษาพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมา
ดังนั้น หากจะบอกว่าไอน์สไตน์เป็นผู้ทำให้เกิดระเบิดหรืออาวุธนิวเคลียร์นั้น ก็นับว่าเป็นความจริง “เพียงเสี้ยวเดียว” แต่หากลงในรายละเอียด ก็ยังคงต้องบอกว่า โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ต่างหากที่เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเต็ม ๆ
ความรู้ไม่ผิด ผิดที่ผู้ใช้ความรู้
หลังเกิดเหตุทิ้งระเบิดปรมาณูในฮิโรชิมาและนางาซากิในปี 1945 ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ว่าจะเป็นไอน์สไตน์ผู้ตั้งสมการ E = mc2 หรือฮานที่ทดสอบปฏิกิริยาฟิชชันสำเร็จ ต่างแสดงความเสียใจและรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกังวลว่า ในอนาคตอาจเกิดสงครามที่รุนแรงจากอาวุธนิวเคลียร์อีก ซึ่งอาจหมายถึงหายนะของมนุษยชาติ
เรื่องราวของไอน์สไตน์และฮาน ก็คล้ายคลึงกับ อัลเฟรด โนเบล ผู้พัฒนาระเบิดไดนาไมต์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการระเบิดเหมือง ให้การทำงานของแรงงานง่ายขึ้น แต่กลับถูกนำไปใช้เพื่อเป็นอาวุธในการรบพุ่งและสังหารกัน ทำให้โนเบลที่รู้สึกผิด ก่อตั้งรางวัลโนเบลขึ้นมา เพื่อเป็นรางวัลให้เหล่านักวิทยาศาสตร์ซึ่งพยายามสร้างสรรค์และค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
เรื่องที่เกิดขึ้นกับโนเบล ไอน์สไตน์ จนถึงฮาน อาจพอจะสรุปได้ด้วยประโยคหนึ่งว่า “ความรู้ไม่ผิด ผิดที่ผู้ใช้ความรู้” เพราะองค์ความรู้บนโลกก็เป็นเหมือนกับดาบสองคม มีคมด้านที่ใช้แล้วจะเกิดประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีคมด้านที่อันตรายเช่นกัน ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นผู้ใช้ความรู้นั้น และใช้มันเพื่ออะไร
และท่ามกลางสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนนี้ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า แต่ละฝ่ายจะใช้ “นิวเคลียร์” ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ไปในทิศทางใดกันแน่
สหรัฐฯ อ้าง รัสเซียขอการสนับสนุนอาวุธและความช่วยเหลือทางทหารจากจีน
เรียบเรียงจาก Nobel Prize
ภาพจาก AFP