แต่แทบทุกประเทศในโลกได้รับผลกระทบอย่างทั่วหน้า มากน้อยแตกต่างกันไป โดยเฉพาะค่าพลังงานที่สูงขึ้นจนนำมาสู่สภาวะเงินเฟ้อ รวมถึงภาวะขาดแคลนอาหาร
เมื่อคืนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครน ได้กล่าวต่อที่ประชุมเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum ที่จัดขึ้นที่เมืองดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ผ่านระบบวีดีโอคอล ที่น่าสนใจคือ ผู้นำยูเครนพูดถึงการเจรจาเพื่อยุติสงคราม
"ยูเครน"ชิงพื้นที่ทางตะวันออกคืนจากรัสเซียได้มากขึ้น
ขาดแคลนทหาร? รัสเซียเตรียมเปิดรับสมัครทหารอายุมากกว่า 40 ปี
โดยเขาระบุว่าหนทางนี้ยังเปิดอยู่ แต่หากจะต้องเจรจา การพูดคุยผ่านตัวกลางหรือคณะเจรจาจะไม่เป็นผล ต้องคุยกับประธานาธิบดีปูตินเท่านั้น เพราะลักษณะการวางอำนาจรัฐของรัสเซียเห็นได้ชัดว่า ประธานาธิบดีปูตินคือผู้เดียวที่ตัดสินใจทุกอย่าง
การออกมาขอให้เปิดการเจรจาตัวต่อตัวระหว่างผู้นำประเทศของประธานาธิบดีเซเลนสกีเกิดขึ้นท่ามกลางสงครามที่กำลังดำเนินไปอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะทางด้านตะวันออกและทางใต้ของประเทศยูเครนซึ่งรัสเซียต้องการยึดให้ได้ทั้งหมด
เมื่อเราลงไปดูแผนที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งของแคว้นโดเนตสก์และลูฮันสก์ ตอนนี้รัสเซียอ้างว่ายึดได้เกือบร้อยละ 90 ของพื้นที่แล้ว และยังมีการปะทะกันประมาณ 5 จุด ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ตอนนี้มีรายงานว่า รัสเซียพยายามตัดขาด และล้อมกรอบทหารยูเครนที่นั่นด้วยการระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง ที่เชื่อมระหว่างเมืองรูบิชเนียและซีวีโรโดเนตสก์ ซึ่งจะทำให้ทหารยูเครนไม่สามารถถอนกำลังถอยกลับได้ และเพื่อตัดทางไม่ให้มีการส่งกำลังมาเสริมได้ด้วย
ตอนนี้ บริเวณเมืองซีเวโรโดเนตสก์ยังคงมีการปะทะกันอย่างดุเดือดมาก และน่าจะเป็นแบบนี้อีกหลายวัน
ส่วนทางใต้หลังจากที่ยึดมาริอูปอลได้แล้ว ตอนนี้รัสเซียพยายามรุกคืบต่อไปที่มิโคลายีฟ ก่อนเข้าโอเดสซาหวังจะปิดทางออกทางทะเลของยูเครนโดยสมบูรณ์
เป็นที่น่าสังเกตว่า การทำสงครามโดยเฉพาะทางภาคตะวันออก รัสเซียใช้รถถังเป็นตัวหลักในการรบ โดยรัสเซียจยิงระเบิดจากรถถังเข้าใส่เป้าหมาย ก่อนจะรุกคืบกระชับพื้นที่ไปเรื่อยๆ
ซึ่งปกติแล้วการรุกคืบจะต้องมีการโจมตีอากาศช่วย เพื่อคุ้มกันการโจมตีขบวนภาคพื้นดิน
แต่ในวันที่รัสเซียยังครอบครองน่านฟ้าของยูเครนไม่ได้ การรบด้วยรถถังเป็นหลักจึงกลายเป็นทางเลือกของรัสเซีย
ในวันที่สงครามดำเนินไป และผู้นำรัสเซียยังไม่มีท่าทีที่จะนั่งลงเจรจาตามคำเรียกร้อง ชาติตะวันตกทยอยส่งอาวุธให้ยูเครนต่อเนื่อง โดยอาวุธล็อตที่ส่งไปใหม่นี้ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ปืนใหญ่ต่อต้านรถถัง เพื่อสกัดการรุกของรัสเซียที่ใช้รถถังเป็นหลัก
และเมื่อคืนที่ผ่านมา ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐออกมาแถลงว่า ประเทศพันธมิตรของยูเครน 20 ประเทศได้ตกลงส่งอาวุธให้กับยูเครนเพิ่มเติม
โดยลักษณะของอาวุธที่ส่งไปจะเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับการใช้รับมือ และโต้กลับของรัสเซีย ที่ขณะนี้ใช้การรบด้วยปืนใหญ่และรถถังเป็นหลัก
รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐไม่ได้บอกรายละเอียดของชนิด รวมถึงปริมาณของอาวุธล็อตใหม่ที่จะส่งไปให้
แต่มีการคาดการณ์ว่า อาวุธตัวตัวหนึ่งที่จะถูกส่งไป น่าจะเป็นปืนใหญ่ลากจูงฮาวอิตเซอร์ M-777 ซึ่งเป็นปืนใหญ่ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดตัวหนึ่งของกองทัพสหรัฐฯ สามารถยิงได้ไกลและมีความแม่นยำสูง
โดยก่อนหน้านี้สหรัฐส่งให้ยูเครนแล้วถึง 90 กระบอก และเกือบทั้งหมดใช้ในแคว้นคาร์คีฟในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
การประกาศความช่วยเหลือทางอาวุธรอบใหม่ของพันธมิตร 20 ประเทศต่อยูเครนเป็นการสนับสนุนต่อเนื่อง
หลังจากที่เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา รัฐมนตรีกลาโหมจาก 40 ประเทศประชุมกันที่ฐานทัพอากาศแรมสไตน์ของประเทศเยอรมนี และลงความเห็นว่ายูเครนจะเอาชนะในสงครามครั้งนี้ได้หากรับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและเพียงพอ
และเมื่อคืนที่ผ่านมา ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐออกมาแถลงว่า ประเทศพันธมิตรของยูเครน 20 ประเทศได้ตกลงส่งอาวุธให้กับยูเครนเพิ่มเติม
โดยลักษณะของอาวุธที่ส่งไปจะเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับการใช้รับมือ และโต้กลับของรัสเซีย ที่ขณะนี้ใช้การรบด้วยปืนใหญ่และรถถังเป็นหลัก
รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐไม่ได้บอกรายละเอียดของชนิด รวมถึงปริมาณของอาวุธล็อตใหม่ที่จะส่งไปให้ แต่มีการคาดการณ์ว่า อาวุธตัวตัวหนึ่งที่จะถูกส่งไป น่าจะเป็นปืนใหญ่ลากจูงฮาวอิตเซอร์ M-777 ซึ่งเป็นปืนใหญ่ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดตัวหนึ่งของกองทัพสหรัฐฯ สามารถยิงได้ไกลและมีความแม่นยำสูง
โดยก่อนหน้านี้สหรัฐส่งให้ยูเครนแล้วถึง 90 กระบอก และเกือบทั้งหมดใช้ในแคว้นคาร์คีฟในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
การประกาศความช่วยเหลือทางอาวุธรอบใหม่ของพันธมิตร 20 ประเทศต่อยูเครนเป็นการสนับสนุนต่อเนื่อง
หลังจากที่เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา รัฐมนตรีกลาโหมจาก 40 ประเทศประชุมกันที่ฐานทัพอากาศแรมสไตน์ของประเทศเยอรมนี และลงความเห็นว่ายูเครนจะเอาชนะในสงครามครั้งนี้ได้หากรับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและเพียงพอ
พลเอกมาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐ ซึ่งอยู่ในที่แถลงข่าวเดียวกันกับรัฐมนตรีกลาโหมออกมาระบุว่า เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของประธานาธิบดีไบเดน
โดยสหรัฐฯ เคยมีทหารจำนวนเล็กน้อยในยูเครน และถอนกำลังออกมาหมดแล้วก่อนจะเกิดการรุกรานยูเครน
การที่ประธานาธิบดีปูตินไม่ยอมตอบว่าจะเจรจายุติสงครามตามที่ผู้นำยูเครนเสนอหรือไม่ บวกกับการส่งอาวุธให้กับยูเครนต่อเนื่องของประเทศพันธมิตรคือ สัญญาณว่า สงครามจะถูกลากยาวต่อไปเรื่อยๆ
เข้าสู่วันที่ 90 ของสงคราม ทั้งสองฝ่ายเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะจำนวนผู้ที่ต้องเสียชีวิต ทางกระทรวงกลาโหมยูเครนประเมินคาดว่า ฝั่งรัสเซียมีทหารเสียชีวิตราว ๆ 20,000 นาย ส่วนฝั่งยูเครนมีทหารเสียชีวิตราว 10,000 นาย และพลเรือนอีกราว 4,000 คน
ส่วนประชาชนที่รอดตาย ก็ต้องใช้ชีวิตต่อด้วยความยากลำบากเพราะบ้านเมืองเสียหายย่อยยับ นี่คือหนึ่งในตัวอย่าง ชาวเมืองคาร์คีฟจำนวนมากต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมา 3 เดือนแล้ว หลังจากเมืองถูกถล่มอย่างหนักจากรัสเซีย พวกเขาบอกว่าต้องอดทนเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายไปให้ได้
และวันนี้ยูเครนยึดคาร์คีฟกลับมาได้แล้ว แต่หลายคนยังไม่มั่นใจสถานการณ์และขออยู่แบบนี้ต่อไปอีกสักระยะทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมบาดแผลทางด้านจิตใจที่เกิดขึ้นจากการเห็นและเผชิญความโหดร้ายของสงคราม
ผ่านมา 3 เดือนแล้ว ยังไม่มีสัญญาณอะไรที่บ่งชี้ว่า สงครามจะสิ้นสุดหรือยุติลงถึงแม้จะถูกคว่ำบาตรอย่างหนัก แต่ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้ยังทำให้ประธานาธิบดีปูตินเปลี่ยนใจไม่ได้
การประท้วงสงครามที่เกิดขึ้นในหลายเมืองของรัสเซียในช่วงเดือนมีนาคม แต่ก็เริ่มจางลงหลังจากผู้ประท้วงถูกปราบปรามจับกุมอย่างไรก็ตาม เริ่มมีเสียงบางเสียงที่ออกมาขัดขืนต่อต้าน และเป็นเสียงจากคนที่ทำงานให้รัฐบาล
ล่าสุดคือ การประกาศลาออกของบอริส บอนดาเรฟ เจ้าหน้าที่การทูตอาวุโสของรัสเซียประจำสหประชาชาติ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เจ้าหน้าที่การทูตรัสเซียรายนี้ ได้ให้เหตุผลในการลาออกว่า เพราะรู้สึกอับอายต่อการที่ประธานาธิบดีปูตินส่งกำลังทหารเข้ารุกรานยูเครนและเขาได้ออกแถลงการณ์ประณามการทำสงครามของรัสเซียในยูเครน
โดยส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุว่า “ การก่อสงครามของปูตินในยูเครน ไม่เพียงแต่เป็นการการก่ออาชญากรรมต่อชาวยูเครนเท่านั้น แต่อาจเป็นการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดต่อชาวรัสเซีย เพราะมันคือสิ่งที่ทำลายความหวังและโอกาสของรัสเซียในการมีสังคมที่อิสระและรุ่งเรือง
บอนดาเรฟระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า ผู้ที่ผลักดันให้เกิดสงครามนี้ต้องการเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือ การได้อยู่ในอำนาจตลอดไป ใช้ชีวิตในพระราชวังโออ่าหรูหราอันไร้รสนิยม ล่องเรือยอร์ช ที่มีขนาดระวางเรือและต้นทุนพอไกับกองทัพเรือรัสเซียทั้งกองคนเหล่านี้เสวยอำนาจอย่างไร้ข้อจำกัดและได้รับการยกเว้นโทษที่กระทำอย่างสมบูรณ์