เมื่อเย็นวันศุกร์ (14 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เกิดเหตุระเบิดที่เหมืองถ่านหินแห่งหนึ่งในจังหวัดบาร์ติน ทางตอนเหนือของประเทศตุรกีใกล้ชายฝั่งทะเลดำ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 28 ราย ขณะที่สื่อบางสำนักรายงานว่ามี 25 ราย
ฟาห์เรตติน โคคา รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขตุรกี เปิดเผยว่า มีผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือออกมาและนำส่งโรงพยาบาลแล้ว 11 คน ขณะที่ สุเลย์มาน ซอยลู รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยตุรกีบอกว่า มีอย่างน้อย 28 คนที่คลานออกมาจากใต้ซากหรือได้รับการช่วยเหลือขึ้นมา
“ไม่เสียใจที่บุกยูเครน” ปูตินเผยจะระดมกำลังพลเรียบร้อยใน 2 สัปดาห์
รับค่าใช้จ่ายไม่ไหว! อีลอน มัสก์ ยุติการสนับสนุนอินเทอร์เน็ตให้ยูเครน
“นาโต” ประกาศซ้อมยิงระเบิดนิวเคลียร์ ชี้ไม่เกี่ยวความตึงเครียดทั่วโลก
นี่นับเป็นหนึ่งในอุบัติเหตุครั้งใหญ่ของตุรกีที่ร้ายแรงที่สุด โดยซอยลูบอกว่า “เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าเศร้าใจ ... โดยรวมแล้ว พี่น้องของเรา 110 คนกำลังทำงานอยู่ในเหมืองขณะเกิดเหตุดิน บางคนหนีออกมาเองได้ และบางคนก็ได้รับการช่วยเหลือ”
เขาคาดว่า มีคนงานราว 50 คนยังคงติดอยู่ในเหมืองที่ระดับความลึกระหว่าง 300-350 เมตร เท่ากับว่า ขณะเกิดเหตุ มีคนอยู่ในเหมืองถ่านหินแห่งนี้ 110 คน และครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ติดอยู่ในเหมืองที่ความลึกมากกว่า 300 เมตร
ซอยลูเสริมว่า คาดว่าเหตุระเบิดเกิดขึ้นภายในเหมืองที่ระดับความลึก 300 เมตร แต่ยังไม่ทราบสาเหตุของการระเบิด แต่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของตุรกีกล่าวว่า เบื้องต้น มีข้อมูลบ่งชี้ว่า การระเบิดอาจเกิดจาก “ก๊าซในเหมืองถ่านหินระเบิด (Fire Damp)” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่ติดไฟง่าย ก่อตัวขึ้นภายในเหมือง แล้วเกิดการระเบิด
เขาเสริมว่า การระเบิดทำให้มีการพังทลายบางส่วนภายในเหมือง แต่เสริมว่าไม่มีเหตุไฟไหม้ลุกลามต่อเนื่อง และการระบายอากาศก็ทำงานได้อย่างเรียบร้อย
คนงานรายหนึ่งซึ่งหนีออกมาจากเหมืองได้ด้วยตัวเอง บอกว่า “มันมีฝุ่นและควันเต็มไปหมด เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
หน่วยงานภาครัฐระดับท้องถิ่นรายงานว่า ขณะนี้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยมากกว่า 70 คน สามารถลงไปยังเหมืองที่ระดับความลึก 250 เมตรได้แล้ว และกำลังพยายามค้นหาผู้ที่ติดอยู่ในเหมืองอย่างสุดความสามารถ โดยยังไม่ชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่จะสามารถเดินทางลึกลงไปได้มากกว่านี้หรือไม่
ก่อนหน้านี้ในปี 2014 ตุรกีเคยเกิดเหตุเหมืองถ่านหินในเมืองโซมา ทางตะวันตกของตุรกี ถล่ม ซึ่งครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 301 ราย
เรียบเรียงจาก BBC
ภาพจาก AFP
