หลังจากช่วงเกือบ 10 วันที่ผ่านมา นับตั้งแต่เกิดเหตุระเบิดสะพานสะพานเคิร์ชบริดจ์ (Kerch Bridge) ที่เชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคไครเมียกับรัสเซียแผ่นดินใหญ่ สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง โดยกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนกลับมาเป็นเป้าหมายการโจมตีอีกครั้ง หลังจากเงียบสงบมาพักหนึ่ง
หนึ่งในยุทโธปกรณ์ที่รัสเซียใช้ในการถล่มกรุงเคียฟระลอกนี้ คือ “โดรนกามิกาเซ่” ซึ่งยูเครน สหรัฐฯ และพันธมิตรชาติตะวันตกเชื่อว่า เป็นโดรนจากอิหร่านที่ให้ความช่วยเหลือแก่รัสเซีย
แม่ทัพรัสเซียคนใหม่ยอมรับ ยูเครนรุกหนัก สถานการณ์ในเคอร์ซอน “ยากลำบาก”
เปิดศักยภาพการผลิตยุทโธปกรณ์ของอิหร่าน
รัสเซียเดินหน้าถล่มโครงสร้างพื้นฐานยูเครน ทำไฟดับหลายเมือง
มีรายงานว่า โดรนที่รัสเซียใช้คือ HESA Shahed 136 ของอิหร่าน ซึ่งโดรนรุ่นนี้สามารถติดตั้งหัวรบได้ ทำให้เมื่อโจมตีเป้าหมายจะเกิดการระเบิด ทำให้มันสามารถทำลายตัวเองได้หลังการโจมตีเป้าหมายเสร็จสิ้น จึงเป็นที่มาของชื่อเล่นที่เรียกกันว่า “โดรนกามิกาเซ่” เหมือนกับตำนานการพลีชีพของนักบินกองทัพญี่ปุ่น
ชาติตะวันตกมองว่า การที่อิหร่านส่งโดรนให้รัสเซีย ถือเป็นการละเมิดมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่ทางการอิหร่านได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
นัสเซอร์ คานาอานี โฆษกกระทรวงต่างประเทศอิหร่านระบุว่า อิหร่านไม่เคยส่งออกหรือขายอาวุธเพื่อการทำสงครามในยูเครนตามข่าวแต่อย่างใด และบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการปั่นกระแสและบิดเบือนความจริง
เช่นเดียวกับ ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียที่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้โดรนที่ผลิตในอิหร่านและยืนยันว่า “ที่ผ่านมามีการใช้ยุทโธปกรณ์ของรัสเซียที่มีชื่อเป็นของรัสเซียเท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิหร่าน 2 คน และทูตอิหร่านอีก 2 คน ออกมาบอกกับสื่อรอยเตอร์ตรงกันว่า อิหร่านเตรียมที่จะจัดหาขีปนาวุธพื้นสู่พื้นและอาวุธโดรนให้กับรัสเซีย
ทูตอิหร่านกล่าวว่า ดีลจัดหาอาวุธให้รัสเซียครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ต.ค. เมื่อรองประธานาธิบดีอิหร่าน โมฮัมหมัด มอคเบอร์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก กองพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามและสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดอิหร่าน เดินทางเยือนรัสเซีย
“รัสเซียร้องขอโดรนและขีปนาวุธนำวิถีที่มีการปรับปรุงความแม่นยำ จำพวกขีปนาวุธตระกูลฟาเตห์ (Fateh) และซอลฟาการ์ (Zolfaghar)” ทูตรายนี้กล่าว โดยฟาเตห์-110 และซอลฟาการ์ เป็นขีปนาวุธพื้นสู่พื้นพิสัยใกล้ที่มีระยะยิงระหว่าง 300-700 กิโลเมตร
ทูตอิหร่านเสริมว่า “อาวุธเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ที่ไหนไม่ใช่เรื่องของผู้ขาย เราไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดในวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนอย่างที่ชาติตะวันตกทำ เราต้องการให้เรื่องนี้จบลงผ่านกระบวนการทางการทูต”
ขณะที่ทูตอิหร่านอีกคนหนึ่งบอกตรงกันว่า รัสเซียร้องขอขีปนาวุธฟาเตห์-110 และซอลฟาการ์เป็นพิเศษ และเสริมว่า การจัดส่งอาวุธเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายในไม่เกิน 10 วัน
แม้อิหร่านจะบอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดหาอาวุธให้รัสเซีย แต่ในขณะเดียวกันก็บอกว่า อิหร่านมีสิทธิ์ที่จะขายอาวุธให้ต่างประเทศ เพราะสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์ 2015 หมดอายุไปตั้งแต่ปี 2020 แล้ว
ในส่วนของโดรน Shahed 136 นั้น หน่วยข่าวกรองยูเครนรายงานว่า รัสเซียมีแผนจัดหาโดรนดังกล่าวจากอิหร่าน 1,750 ตัว ขณะที่ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่ารัสเซียมีแผนจัดหาโดรนถึง 2,400 ตัว ซึ่งโดรนรุ่นนี้มีต้นทุนเพียงตัวละราว 800,000 บาท
เซเลนสกีเสริมว่า การที่รัสเซียใช้โดรนของอิหร่าน เป็นการสะท้อนว่ากองทัพรัสเซียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนอาวุธอย่างหนัก “นี่เป็นการยอมรับกลาย ๆ ว่า รัสเซียกำลังล้มละลายทั้งทางทหารและทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง”
เซเลนสกี ระบุว่า การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องเป็น “การก่อการร้าย” อีกรูปแบบหนึ่งของรัสเซีย ซึ่งนับจากวันที่ 10 ที่ผ่านมา สถานีไฟฟ้า 30% ของยูเครนถูกทำลายและทำให้เมืองต่างๆกว่า 1,000 แห่งไม่มีไฟฟ้าใช้ พร้อมย้ำว่าการโจมตีหลายระลอกเหล่านี้เป็นการปิดโอกาสโดยสิ้นเชิงที่ยูเครนจะยอมเจรจากับรัสเซีย
โดยการโจมตีของรัสเซียรอบล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวานนี้ (18 ต.ค.) พุ่งเป้าโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าทั้งในกรุงเคียฟ เมืองคาร์คีฟ ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ มิโคลาอีฟทางภาคใต้ รวมทั้งดนิโปรและซีโทเมียร์ ตอนกลางของยูเครน ส่งผลให้ไฟฟ้าดับและน้ำประปาหยุดให้บริการ
เรียบเรียงจาก Reuters / The Guardian
ภาพจาก AFP