หนึ่งในแนวทางสำคัญของการลดภาวะโลกร้อนและแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกที่เราได้ยินกันจนหูชา คือการพยายาม “ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” แต่แม้เราจะได้ยินคนพูดกันจนปากเปียกปากแฉะ ในทางปฏิบัติจริงกลับแทบจะไม่คืบหน้า
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) รายงานว่า ระดับความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจก 3 ประเภทในชั้นบรรยากาศโลก คือ มีเทน คาร์บอนไดออกไซด์ และไนตรัสออกไซด์ เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดทุบสถิติใน 2021 ซึ่งบ่งชี้ว่า โลกไม่ได้ดีขึ้นเลย และกำลังเลวร้ายลงด้วยซ้ำ
"พายุบนโลกจะน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ" หลังโลกร้อนทำมหาสมุทรอุ่นเกินไป
ภายใน 80 ปี ตะวันออกกลางจะร้อนจนอาศัยอยู่ไม่ได้
ภาวะโลกร้อน ทำให้ลูกเต่าทะเลในฟลอริดาฟักออกมาเป็นตัวเมียทุกตัว 4 ปีติด
โดย WMO พบว่า เมื่อเทียบระหว่างปี 2020 กับ 2021 ระดับความเข้มข้นของก๊าซมีเทนเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,908 ppm เพิ่มขึ้นจากปี 2020 ซึ่งยังไม่ถึง 1,900 ppm และหากเทียบกับโลกยุคก่อนอุตสาหกรรม พบว่าเพิ่มขึ้นมาถึง 262% เลยทีเดียว
นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ระดับของมีเทนเพิ่มขึ้นผิดปกติ เพราะอัตราการปล่อยก๊าซจากโรงงานหรือภาคอุตสาหกรรมก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอะไร
ทฤษฎีในตอนนี้มีนักวิทยาศาสตร์มีในตอนนี้คือ มีเทนอาจเพิ่มขึ้นจากกิจกรรมของจุลชีพในพื้นที่ชุ่มน้ำ การทำนาข้าว และการกินอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้องและปศุสัตว์ ที่จะปล่อยมีเทนออกมาเมื่อเรอหรือผายลมและขับถ่าย
ขณะที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้น พบความเข้มข้นในชั้นบรรยากาศทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 415.7 ppm เพิ่มขึ้นในระดับที่มากกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และยังคงมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
คาร์บอนไดออกไซด์เกิดจากการหายใจออกมาของสิ่งมีชีวิต แต่สัดส่วนที่ทำให้เกิดผลเสียต่อโลก มาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากฟอสซิลเป็นหลัก โดยนับตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเป็นต้นมา มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นมากถึง 149%
ส่วนก๊าซไนตรัสออกไซด์ หรือก๊าซหัวเราะ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากแบคทีเรียในดินและมหาสมุทร และการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนในภาคเกษตรกรรม ก็พบว่า ความเข้มข้นเพิ่มขึ้นมาที่ 334.5 ppm ซึ่งเพิ่มขึ้นจากยุคก่อนอุตสาหกรรม 124%
ตามพิธีสารเกียวโต ก๊าซที่ถูกนับว่าเป็นก๊าซเรือนกระจกซึ่งส่งผลเสียต่อโลก นอกจากก๊าซ 3 ประเภทข้างต้นแล้ว ยังมี ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน เปอร์ฟลูออโรคาร์บอน ซัลเฟอร์เฮกซาฟลูโอไรด์ และไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ แต่มีเทน คาร์บอนไดออกไซด์ และไนตรัสออกไซด์ ถือเป็นก๊าซหลักที่มีส่วนในการทำลายโลกมากกว่า
มีการประเมินว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้มีผลทำให้ภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นมาราว 50% โดยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหัวโจก เพราะมีส่วนรับผิดชอบถึง 80%
ศ.เพ็ตเทอรี ทาลาส เลขาธิการ WMO กล่าวว่า “การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ โดยเฉพาะระดับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของก๊าซมีเทน แสดงให้เห็นว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ผิด”
เขาเสริมว่า การเพิ่มขึ้นของก๊าซมีเทนสามารถแก้ไขได้ และคาร์บอนไดออกไซด์ยังคงเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด “มันเป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่าแก่การลงมือทำในการจัดการกับการปล่อยก๊าซมีเทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิล และเราควรดำเนินการทันทีโดยไม่ชักช้า”
ทาลาสบอกว่า “ตามลำดับความสำคัญที่เร่งด่วนที่สุด เราต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาพอากาศที่รุนแรง และจะส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศโลกเป็นเวลาหลายพันปี ทำให้น้ำแข็งละลาย และระดับน้ำทะเลสูงขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ทาลาสกล่าวว่าเวลาในการจัดการภาวะฉุกเฉินด้านสภาพอากาศนี้กำลังหมดลง เนื่องจากความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบบอุตสาหกรรม พลังงาน และการขนส่ง และวิถีชีวิตทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีราคาไม่แพงและเป็นไปได้ในทางเทคนิค เวลากำลังจะหมดลงแล้ว
เรียบเรียงจาก The Guardian
ภาพจาก AFP