ด้วยลักษณะที่ตั้งของยูเครน ฤดูหนาวที่นี่หนาวจัด อุณหภูมิเฉลี่ยลงไปถึงติดลบ 20 องศา อากาศที่เย็นจัดจับขั้วหัวใจจะเป็นสิ่งที่รัสเซียใช้เป็นหนึ่งในอาวุธเพื่อบีบให้ยูเครนยอมแพ้
และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเห็นการโจมตีอย่างหนักและต่อเนื่องไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
รวมถึงเมื่อวานนี้ (31 ต.ค.) ที่รัสเซียยิงขีปนาวุธพิสัยไกลแบบนำวิถีเข้าใส่ยูเครนถึง 50 ลูก ส่งผลให้หลายเมืองไม่มีไฟฟ้าใช้ รวมถึงไม่มีน้ำดื่ม
รัสเซียร้องยูเอ็นคุยยูเครน ขอห้ามโจมตีกองเรือทะเลดำ
มหาเศรษฐีรัสเซียสละสัญชาติ ลั่น “ไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับประเทศนี้”
วานนี้รัสเซียเปิดฉากโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบไฟฟ้าและน้ำประปาของยูเครนอย่างหนักในหลายเมือง ไล่ตั้งแต่ซาโปริซเซีย ดนีโปร ทางตอนใต้ ขึ้นมาที่คาร์คีฟทางตะวันออกเฉียงเหนือ ลวิฟทางตะวันตก และกรุงเคียฟเมืองหลวง
อิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงในเวลาต่อมาว่า กองทัพรัสเซียโจมตียูเครนด้วยขีปนาวุธระยะไกลนำวิถีที่ยิงจากทางภาคพื้นดินจากแคว้นรอสตอฟทางตอนใต้ของรัสเซียและอีกทางคือยิงจากทะเลแคสเปียน โดยทั้งหมดเข้าสู่เป้าหมายที่ต้องการ
เป้าหมายที่รัสเซียต้องการคือ ทำลายโครงสร้างพื้นฐานอย่างระบบไฟฟ้าและน้ำประปาของยูเครน
เดนิส ชไมฮาล นายกรัฐมนตรีของยูเครนเปิดเผยผ่านทางเทเลแกรมว่า รัสเซียใช้ขีปนาวุธกว่า 50 ลูกยิงไปใน 10 ภูมิภาคทั่วประเทศ และเปลี่ยนเป้าหมายจากที่เคยโจมตีสาธารณูปโภคด้านการทหาร มาเป็นการโจมตีระบบน้ำและไฟฟ้า
อย่างไรก็ตามกองทัพอากาศของยูเครนสามารถยิงสกัดขีปนาวุธตกไป 44 ลูก ที่หลุดรอดเข้ามาได้มีประมาณ 8 ลูก สร้างความเสียหายในหลายจุด ที่หนักที่สุดจุดหนึ่งอยู่ที่กรุงเคียฟเมืองหลวง
วิตาลีย์ คลิตช์โก นายกเทศมนตรีกรุงเคียฟ ระบุว่า ผลจากการโจมตีทำให้ครัวเรือนกว่าร้อยละ 80 ของกรุงเคียฟไม่มีน้ำใช้ เพราะระบบส่งน้ำประปาถูกทำลาย
สิ่งที่ทางเมืองทำคือพยายามซ่อมแซมระบบที่ใช้ในการส่งน้ำประปาไปยังบ้านเรือนประชาชนให้กลับมาใช้การได้เร็วที่สุด
นอกเหนือจากน้ำประปา ประชาชนอีกกว่า 350,000 ครัวเรือนในกรุงเคียฟไม่มีไฟฟ้าใช้หลังการโจมตีรอบใหม่นี้
โดยสภาพและชีวิตของผู้คนที่ถูกตัดขาดจากระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างน้ำและไฟฟ้า และ ที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนช่วงเช้าที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อรองน้ำจากจุดรับน้ำสาธารณะ
ความรู้สึกของคนเหล่านี้คือโกรธ แต่พวกเขาบอกว่าจะปรับตัวเพื่ออยู่ให้ได้ และเพื่อแสดงว่าชาวยูเครนจะไม่ยอมจำนนต่อวิธีการใดๆ ก็ตามที่รัสเซียนำมาใช้ในการกดดัน
ส่วนบรรดาธุรกิจอย่างร้านอาหารก็ต้องปรับตัว พยายามใช้น้ำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้บอกว่า ไม่มีอะไรจะบั่นทอนกำลังใจและความมุ่งมั่นในการใช้ชีวิตของเขาได้
นายกเทศมนตรีกรุงเคียฟ ระบุว่า ชัดเจนว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีปูตินต้องการจากการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเหล่านี้คือ ทำให้คนต้องทรมานและตายด้วยความหนาว
เขาระบุว่า สงครามควรจะเป็นการเผชิญหน้ากันทางการทหาร แต่ขณะนี้พลเรือนผู้บริสุทธิ์กลับเป็นเป้าหมายของการทำลายล้าง
นักวิเคราะห์ชี้ว่า นี่คือกลยุทธ์ของรัสเซียที่ต้องการทำลายขวัญชาวยูเครน ต้องการทำให้หวาดกลัวกับการที่ต้องเผชิญความหนาวในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ซึ่งอุณหภูมิอาจลดต่ำลงได้ถึงลบ 20 องศาเซลเซียส ที่น่าสนใจคือ ประธานาธิบดีปูตินออกมายอมรับว่า จงใจที่จะทำเช่นนั้น
การแถลงข่าวล่าสุด ประธานาธิบดีปูตินระบุว่า การโจมตียูเครนรอบใหม่นี้เกิดจากการที่ยูเครนได้ส่งโดรนเข้ามาโจมตีกองเรือทะเลดำของรัสเซียในไครเมียก่อน รวมถึงเพื่อเป็นการเอาคืนที่ยูเครนได้มีการวินาศกรรมสะพานเคียร์ช ซึ่งเป็นสะพานที่เชื่อมรัสเซียแผ่นดินใหญ่กับแคว้นไครเมียเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว
โดยผู้นำรัสเซียกล่าวว่า การทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและน้ำของยูเครนนี้ไม่ใช่วิธีการเดียวที่เขาทำได้ ยังมีอีกหลายวิธีที่เขาสามารถหยิบมาใช้เพื่อบดขยี้ยูเครน
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ทางเลือกของรัสเซียในการชนะสงครามอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมีไม่มากแล้ว และสิ่งที่รัสเซียกำลังทำ นั่นก็คือการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพลเรือน คือสัญญานความล้มเหลวในสมรภูมิการรบ จนต้องใช้วิธีนี้เพื่อทำลายขวัญกำลังใจของชาวยูเครน เพื่อหวังว่าชาวยูเครนจะวิงวอนให้รัฐบาลยูเครนยอมรับเงื่อนไขข้อตกลงสันติภาพอย่างที่รัสเซียต้องการ แต่ดูเหมือนสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะยูเครนยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมง่ายๆ
สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้รัสเซียต้อใช้วิธีการที่คาดไม่ถึงในการกดดันยูเครน รวมไปถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์ เกิดความเสี่ยงที่สงครามจะขยายวงออกไป
ยังไม่มีใครตัดความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ในสงครามครั้งนี้ โดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์ด้านยุทธวิธี หรือ Tactical Nuclear Weapon ซึ่งมีขนาดเล็กและทำลายเป้าหมายในพื้นที่เจาะจงอย่างเรือ เครื่องบิน หรือฐานบัญชาการ เพื่อหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้ในสงคราม และเป็นการใช้หลักการที่เรียกว่า Escalate to de-escalate หรือทำให้สถานการณ์บานปลายเพื่อลดการบานปลาย
เช่น เมื่อใช้นิวเคลียร์แล้วอาจทำให้เกิดการเจรจาได้เพราะไม่มีชาติใดอยากเข้าสู่สงครามนิวเคลียร์
อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักรคนใหม่ออกมาปรามประธานาธิบดีปูติน
ในการกล่าวต่อสภาเมื่อคืนที่ผ่านมา เจมส์ เคลฟเวอร์ลี รัฐมนตรีต่างประเทศของสหราชอาณาจักรระบุว่า หากประธานาธิบดีปูตินใช้นิวเคลียร์ รัสเซียจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่ร้ายแรง
ในวันที่รัสเซียต้องปิดเกมสงครามให้ได้ นอกเหนือจากความเสี่ยงในการใช้อาวุธนิวเคลียร์แล้ว ยังมีความเสี่ยงที่สงครามจะขยายวงออกไปนอกยูเครนด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
มีรายงานว่าในระหว่างที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนพยายามสกัดขีปนาวุธที่รัสเซียยิงเข้ามาเมื่อวาน มีขีปนาวุธลูกหนึ่งหลุดรอดเข้าไปตกในประเทศมอลโดวา โดยไปตกที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตอนเหนือ
แน่นอนว่านี่ทำให้ประชาชนในประเทศเล็กๆแห่งนี้เป็นกังวล ว่าพวกเขากำลังจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องในสงคราม
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดสงคราม ที่ขีปนาวุธหลุดรอดออกไปจากขอบเขตของแผ่นดินยูเครน
มอลโดวา อยู่ติดกับประเทศยูเครนทางตะวันตก เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต และเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรเพียง 2.6 ล้านคน และมีกำลังทหารเพียง 6,500 นาย
หลังเกิดสงคราม ผู้นำของมอลโดวา ประธานาธิบดี ไมอา ซานดู พยายามจะเสาะแสวงหาหลักประกันความมั่นคงจากชาติตะวันตกในกรณีที่ตกเป็นเป้าโจมตีของรัสเซีย
โดยเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน ได้เดินทางไปที่นั่นพร้อมสัญญาว่าจะช่วยเหลือมอลโดวา และหลังจากนั้นไม่นาน มอลโดวาก็ส่งใบสมัครเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป
ตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มอลโดวาถูกมองว่าอาจถูกลากเข้าไปในสงครามด้วย เพราะแคว้นหนึ่งของมอลโดวาที่เรียกว่า แคว้นทรานส์นีสเตรีย ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองมีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่เป็นสายโปรรัสเซียควบคุมอยู่ และที่นั่นมีทหารรัสเซียประจำการอยู่ประมาณ 1,500 นาย
ล่าสุดมีรายงานว่าในการโจมตียูเครนเมื่อวานนี้ ขีปนาวุธบางส่วนของรัสเซียถูกยิงมาจากน่านฟ้าของแคว้นทรานส์นีสเตรียของมอลโดวา โดยเป้าหมายคือทางใต้และตะวันตกของยูเครนซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน
โดยคนที่ออกมาพูดเรื่องนี้คือ โฆษกกองทัพอากาศยูเครน Yuriy Ignat ที่ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์แห่งชาติยูเครนเมื่อวานนี้
และหากสิ่งที่ยูเครนพูดเป็นเรื่องจริง การใช้แคว้นทรานส์นีสเตรียเป็นฐานในการโจมตียูเครนจะถือเป็นการขยายขอบเขตของสงครามออกนอกยูเครนเป็นครั้งแรก