ปฏิบัติการซ้อมรบร่วมที่จะจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน ระหว่างสหรัฐฯกับเกาหลีใต้ ได้เปิดฉากขึ้นเมื่อวันจันทร์ (31 ต.ค.) ภายใต้ชื่อ "VIGILANT STORM 23”
ถือเป็นการซ้อมรบร่วมทางอากาศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยจัดขึ้นในประวัติศาสตร์ของทั้งสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ รวมถึงมีการนำกำลังทหารนับหมื่นนาย ตลอดจน เครื่องบินรบและยุทโธปกรณ์จำนวนมากเข้าร่วม
โสมแดง ยิงปืนใหญ่นับร้อยลูก ตกใกล้น่านน้ำโสมขาว
เกาหลีใต้-สหรัฐฯ ตอบโต้เกาหลีเหนือ ยิงทดสอบขีปนาวุธบ้าง
"VIGILANT STORM 23” เป็นการซ้อมรบแบบต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีการหยุดพักเป็นเวลา 5 วันเต็ม ไปจนถึงวันศุกร์นี้
โดยสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ได้ส่งเครื่องบินรบแบบต่างๆ ของตนเองเข้าร่วมกว่า 240 ลำ แบ่งเป็นเครื่องบินรบจากสหรัฐฯจำนวน 100 ลำ และจากเกาหลีใต้ อีก 140 ลำ ซึ่งเครื่องบินทั้งหมดจะเข้าร่วมสถานการณ์จำลองที่คาบสมุทรเกาหลีถูกโจมตีจากศัตรู
ข้อมูลระบุว่า ตลอด 5 วัน เครื่องบินรบทั้งของสหรัฐฯและเกาหลีใต้ ทั้ง 240 ลำจะทำการซ้อมรบทางยุทธวิธีมากถึง 1,600 เที่ยวบิน
หนึ่งในยุทโธปกรณ์สำคัญ ที่ถูกจับตามองมากที่สุดจากปฏิบัติการซ้อมรบร่วมของสหรัฐฯกับเกาหลีใต้ในครั้งนี้ คือ เครื่องบินขับไล่ล่องหน ( stealth fighter) แบบ F-35
ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดของโลกในปัจจุบัน และมีขีดความสามารถขั้นสูงในการหลบหลีกเรดาร์แทบทุกชนิดบนโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องบินขับไล่ F-35 ผลิตโดยบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) มีราคาจำหน่ายสูงถึงลำละ 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่าลำละ 5,373 ล้านบาท
นอกจากเครื่องบินขับไล่ F-35 แล้ว ยังมีรายงานว่าทั้งสองชาติได้นำเครื่องบินรบอานุภาพสูงอีกหลายรุ่นเข้าร่วมการซ้อมรบครั้งประวัติศาสตร์นี้ด้วย หนึ่งในนั้น คือเครื่องบินเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ แบบ KC-135 สตราโตแทงเกอร์
เครื่องบิน KC-135 นี้เคยผ่านการรบในสมรภูมิสงครามเวียดนามและสงครามอิรักมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในเครื่องบินที่ได้ชื่อว่า “บินได้เงียบเชียบที่สุด” ด้วยระดับความดังของเสียงเพียงแค่ 99 เดซิเบล
ทำไมสหรัฐฯ ต้องจับมือเกาหลีใต้ซ้อมรบใหญ่ในช่วงเวลานี้ คำตอบคือเพื่อเป็นการป้องปรามเกาหลีเหนือ เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าเกาหลีเหนืออาจมีการทดสอบนิวเคลียร์ในเร็วๆนี้
แหล่งข่าวทางการเมืองและความมั่นคง ทั้งในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ของสหรัฐฯ รวมถึงที่กรุงโซล ของเกาหลีใต้ต่างระบุตรงกันว่า เกาหลีเหนือกำลังเตรียมการขั้นสุดท้ายเพื่อทดลองอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกของประเทศในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ปี2017 เป็นต้นมา
ดังนั้น นี่จึงอาจเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว สำหรับการจัดซ้อมรบร่วมภายใต้ปฏิบัติการ VIGILANT STORM เพื่อป้องปรามเกาหลีเหนือ
ทั้งนี้ สำนักข่าวกรองแห่งชาติของเกาหลีใต้คาดการณ์กรอบระยะเวลาไว้ว่า ก่อนวันที่ 7 พ.ย. ที่จะถึงนี้ มีโอกาสที่เกาหลีเหนือภายใต้การนำของคิม จอง อึน อาจทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์
ซึ่งหากข้อมูลนี้กลายเป็นเรื่องจริง ก็จะถือเป็นการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 7 ในประวัติศาสตร์ของเกาหลีเหนือ
ก่อนหน้านี้การซ้อมรบภายใต้รหัส VIGILANT STORM ว่างเว้นมานานถึง 5 ปีเต็ม ตามนโยบายของอดีตประธานาธิบดีมูน แจ-อิน แห่งเกาหลีใต้ ที่ให้รัฐบาลและกองทัพ งดเว้นการจัดกิจกรรมใดๆ ที่อาจทำให้เกาหลีเหนือไม่พอใจและเกิดความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีได้
นอกจากจะเป็นการป้องปรามเกาหลีเหนือแล้ว การซ้อมรบร่วมภายใต้ปฏิบัติการ VIGILANT STORM ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนที่แข็งกร้าวไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ ที่กำลังแผ่ขยายอิทธิพลและอำนาจของตัวเองอย่างต่อเนื่องจากแนวนโยบายต่างประเทศในยุคของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง
หลังจากปฏิบัติการซ้อมรบร่วมของสหรัฐฯและเกาหลีใต้เปิดฉากขึ้น กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือ ได้ออกแถลงการณ์ประณามการซ้อมรบครั้งนี้ โดยระบุว่า สหรัฐอเมริกาจะต้องชดใช้ไม่ต่างจากเกาหลีใต้หากยังไม่หยุดการซ้อมรบ
พร้อมทั้งกล่าวหาว่า ทั้งสองชาติ กำลังพยายามยั่วยุให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี
ด้านสำนักข่าวสารกลางแห่งเกาหลี (KCNA) ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลเกาหลีเหนือออกมาระบุว่า สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีและบริเวณใกล้เคียงได้ถลำเข้าสู่ระดับความเสี่ยงสูง ของการเผชิญหน้าอีกครั้งระหว่าง “อำนาจต่ออำนาจ”
เคซีเอ็นเอ ระบุว่า ความเคลื่อนไหวทางทหารที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้จักจบสิ้นและตั้งอยู่บนพื้นฐานของความประมาทเลินเล่อของสหรัฐฯกับเกาหลีใต้ นั้น หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป รัฐบาลเปียงยางก็ไม่ลังเลที่จะตอบโต้ “อย่างจริงจัง”และสาสม
นอกเหนือจากการซ้อมรบร่วมของสหรัฐฯและเกาหลีใต้ที่กลายเป็นประเด็นร้อนบนคาบสมุทรเกาหลีแล้ว
ล่าสุดแหล่งข่าวทางการทูตในกรุงแคนเบอร์รา เมืองหลวงของออสเตรเลียระบุว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ เตรียมส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 ซึ่งสามารถรองรับการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ สูงสุดจำนวน 6 ลำ เข้ามาประจำการยังฐานทัพอากาศทางตอนเหนือของออสเตรเลีย
ข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่า ฝูงบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ดังกล่าวของสหรัฐฯ จะถูกส่งไปประจำการยังฐานทัพอากาศทินดัล (Tindal) ของกองทัพอากาศออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองดาร์วิน เมืองหลวงของเขต นอร์ธเทิร์น เทร์ริทอรี (Northern Territories) ไปทางทิศใต้ราว 300 กิโลเมตร
ขณะที่ จ้าว หลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้ออกมาแถลงตอบโต้ในเรื่องนี้ โดยระบุว่าสหรัฐฯและชาติพันธมิตรเป็นฝ่ายที่เพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค และบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพ อีกทั้งยังเป็นฝ่ายที่มีพฤติกรรมยั่วยุจนนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธ