เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ( 2 พ.ย.) มีรายงานว่าเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธประมาณ 10 ลูกเข้ามายังทิศที่เป็นแผ่นดินเกาหลีใต้
หลังจากนั้นไม่นาน คณะเสนาธิการร่วมกองทัพเกาหลีใต้เปิดแถลงข่าวทันที โดยให้รายละเอียดว่า ในบรรดาขีปนาวุธที่ยิงเข้ามา มีลูกหนึ่งตกลงไม่ไกลจากเส้นที่เรียกว่าแนวจำกัดตอนเหนือหรือ Northern Limit Line ซึ่งเป็นเส้นที่ทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งพรมแดนเกาหลีเหนือและใต้ในพื้นที่ทะเลเหลืองและทะเลญี่ปุ่น (ทะเลตะวันออก)
เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ 2 ลูกตกนอกชายฝั่งตะวันออก
โสมแดง ยิงปืนใหญ่นับร้อยลูก ตกใกล้น่านน้ำโสมขาว
จุดที่ขีปนาวุธเกาหลีเหนือตกลงทะเล อยู่ห่างจากเกาะอุลลึง หรือ อุลลึงโด ราว 167 กิโลเมตร ทั้งนี้ในช่วงที่ขีปนาวุธพุ่งเข้ามา มีเสียงไซเรนจากทางฝั่งเกาหลีใต้เตือนดังขึ้น
เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศดังขึ้น พร้อมกับคำประกาศเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในช่วงเช้า
ชาวบ้านในพื้นที่เปิดเผยว่า เสียงไซเรนดังขึ้นตั้งแต่เวลาประมาณ 08.55 น. จึงพากันอพยพเข้าไปอยู่ในชั้นใต้ดินของอาคาร ก่อนจะกลับออกมาในราวอีก 20 นาทีต่อมา หลังจากมีการยืนยันว่า ขีปนาวุธเกาหลีเหนือตกลงไปในทะเลแล้ว
ขณะเดียวกัน เครื่องบินรบเกาหลีใต้ได้ยิงขีปนาวุธจากอากาศสู่พื้นจำนวน 3 ลูก บริเวณเหนือเส้น Northern Limit Line (NLL) ซึ่งเป็นเขตแดนทางทะเลซึ่งทั้งเกาหลีเหนือและใต้ต่างมีข้อพิพาทกันอยู่
ในการแถลงข่าว คณะเสนาธิการร่วมกองทัพเกาหลีใต้ประกาศจะตอบโต้อย่างหนัก โดยระบุว่าการยิงขีปนาวุธมาตกในแนวเส้น NLL เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และถือเป็นการละเมิดน่านน้ำระหว่างประเทศ
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ขีปนาวุธจากเกาหลีเหนือยิงเข้าไปในเขตแดนเกาหลีใต้ นับตั้งแต่แผ่นดินเกาหลีถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเมื่อปี 1948
การแบ่งแผ่นดินเกาหลีเกิดขึ้นเนื่องจากมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องการถ่วงดุลอำนาจกัน โดยใช้เส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นชายแดนสมมติ
เกาหลีเหนืออยู่ภายใต้อิทธิพลสหภาพโซเวียต ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม ส่วนเกาหลีใต้อยู่กับสหรัฐฯ ใช้การปกครองแบบประชาธิปไตย
ปี 1950 ทั้งสองชาติเปิดฉากทำสงครามกัน สงครามที่เรียกว่าสงครามเกาหลีดำเนินอย่างโหดร้ายนานถึง 3 ปี และมีทหารจากทั้ง 2 ฝ่ายเสียชีวิตนับล้านนาย โดยไม่ปรากฎผู้แพ้ผู้ชนะที่ชัดเจน ในที่สุดทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้ยอมทำข้อตกลงหยุดยิงกันเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 1953
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทั้ง 2 ชาติก็ประจันหน้ากันอยู่ตามแนวชายแดนที่ขีดไว้ ทั้งทางบกและทางทะเล (CG Northern Limit Line)
โดยทางทะเลมีเส้นที่ทำหน้าที่เป็นเขตแดนโดยพฤตินัยคือ แนวจำกัดตอนเหนือหรือ Northern Limit Line หรือ NLL ซึ่งเป็นจุดที่ขีปนาวุธเกาหลีเหนือตกเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
เส้นนี้มีการขีดไว้หลังสงครามเกาหลีสิ้นสุดเมื่อปี 1953 โดยกองกำลังสหประชาชาติที่นำโดยสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เกาหลีเหนือไม่เคยรับรองหรือยอมรับการขีดเส้นพรมแดนตรงนี้ โดยระบุว่าเส้น NLL ไม่มีอยู่จริงและบริเวณนี้ยังไม่ใช่ของใครโดยสมบูรณ์
ที่ผ่านมาเกาหลีเหนือมีความพยายามลักลอบล้ำเส้นเข้ามาสอดแนมฝั่งเกาหลีใต้ บางครั้งส่งเรือพิฆาตเข้ามา บางครั้งมาด้วยการปลอมตัวเป็นชาวประมง ขณะเดียวกันมีชาวเกาหลีใต้ถูกทหารเกาหลีเหนือจับตัวไปอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อปี 2020 หรือ 2 ปีที่แล้ว ทหารเกาหลีเหนือจับตัวชายชาวเกาหลีใต้รายหนึ่งที่ทำงานในสังกัดกระทรวงมหาสมุทรและประมงเกาหลีใต้ ขณะที่เขาอยู่บนเรือลาดตระเวณนอกชายฝั่งเกาะยอนเปียงของเกาหลีใต้
หลังจากนำตัวไปสอบปากคำ ชายคนดังกล่าวก็ถูกทหารเกาหลีเหนือยิงเสียชีวิต พร้อมราดน้ำมันและจุดไฟเผาศพ
เหตุการณ์สังหารชายเกาหลีใต้ครั้งนี้ เกิดขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ มูน แจ-อิน กำลังจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ หรือ UNGA ครั้งที่ 75 ซึ่งสาระหลักของสุนทรพจน์คือการเรียกร้องสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี
และการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือมาที่เส้น NLL ตกที่น่านน้ำเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่แผ่นดินเกาหลีถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนเมื่อปี 1948 ทำให้ชาวเกาหลีใต้จำนวนมากที่ติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดแสดงความเป็นกังวล
ส่วนหนึ่งของการติดตามข่าวการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือของประชาชนในกรุงโซล
บางคนบอกว่าพวกเขาเริ่มไม่พอใจและไม่อยากต้องอดทนอีกแล้ว เพราะถึงแม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เกาหลีเหนือจะมีการยิงขีปนาวุธบ่อยครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีการรุกล้ำเข้ามาในน่านน้ำของประเทศ
พวกเขาจึงหวังว่า รัฐบาลเกาหลีใต้จะใช้วิธีการโต้กลับอย่างหนักเพื่อไม่ให้เกาหลีเหนือยั่วยุอีก
นอกจากเกาหลีใต้จะไม่พอใจแล้ว อีกชาติที่ไม่พอใจและออกมาประณามการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือเมื่อเช้าที่ผ่านมาคือญี่ปุ่น เนื่องจากมีขีปนาวุธบางลูกตกลงในทะเลซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่น
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น ยาสุคาซึ ฮามาดะ ออกมาแถลงข่าวประณามเกาหลีเหนือทันที
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเองก็เพิ่งจะถูกเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธเข้าน่านฟ้าถึง 2 ครั้งภายในเวลาไม่ถึง 3 วัน
โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธลูกหนึ่งผ่านน่านฟ้าญี่ปุ่น จนสัญญานเตือนภัยดังขึ้นทั่วกรุงโตเกียว
ก่อนที่จะร่อนไปตกลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากชายฝั่งทางด้านตะวันออกของญี่ปุ่นไปราว 3,000 กิโลเมตร
ขีปนาวุธที่เกาหลีเหนือยิงมาในคราวนี้มีระดับความสูงที่ราว 1,000 กิโลเมตร และมีการเคลื่อนตัวได้ไกลราว 4,600 กิโลเมตร ซึ่งน่าจะเป็นระยะที่ไกลที่สุดเมื่อเทียบกับการยิงขีปนาวุธในอดีตของเกาหลีเหนือ
หลังจากนั้นอีก 2 วัน เกาหลีเหนือก็ยิงขีปนาวุธเข้าใส่น่านฟ้าญี่ปุ่นอีกครั้ง โดยคราวนี้ลูกหนึ่งเป็นขีปนาวุธพิสัยใกล้ 1 ลูกและพิสัยกลาง 1 ลูก โดยทั้งหมดตกในทะเลนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่นเหมือนกับครั้งแรก
นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธเข้าน่านฟ้าญี่ปุ่น ครั้งล่าสุดคือเมื่อปี 2017 และมีผลทำให้ญี่ปุ่นต้องมีการติดตั้งระบบเตือนภัยขีปนาวุธในหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศรวมถึงโตเกียว
ถึงแม้ว่าเกาหลีเหนือจะยิงขีปนาวุธบ่อยครั้ง แต่คราวนี้ต่างจากครั้งอื่นเพราะยิงเข้าน่านน้ำของเกาหลีใต้เป็นครั้งแรก
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ มีการยิงถี่และบ่อยขึ้นมากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นปี 2022 เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ 29 ครั้งแล้ว ถือเป็นการยิงถี่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะอะไร
หลายคนประเมินว่า นี่เป็นการอุ่นเครื่องของเกาหลีเหนือ เตรียมขีปนาวุธให้พร้อมก่อนที่จะมีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์
การมีอาวุธนิวเคลียร์คือความใฝ่ฝันของเกาหลีเหนือ เพื่อใช้เป็นอำนาจต่อรองให้อยู่รอดได้บนเวทีโลก
เกาหลีเหนือเริ่มโครงการพัฒนานิวเคลียร์มากว่า 40 ปีแล้ว และมีการระงับไปช่วงหนึ่งนั่นก็คือในปี 2018 หลังการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ คิมจองอึนกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
ในการเจอกันคราวนั้น สหรัฐฯ พยายามโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อแลกกับการถูกยกเลิกคว่ำบาตรและความช่วยเหลือด้านการเงิน
แต่หลังการพูดคุยก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ออกมา เพราะเกาหลีเหนือไม่ยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์เพียงฝ่ายเดียว
หลังจากนั้นเกาหลีเหนือหันไปเดินหน้าเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมและเริ่มกระบวนการแปรรูปแร่พลูโตเนียมเต็มรูปแบบ
คนที่ติดตามเรื่องนี้หลายคนระบุว่า ขณะนี้เกาหลีเหนืออาจอยู่ในจุดที่ผลิตระเบิดนิวเคลียร์ได้แล้วและเตรียมทดสอบประสิทธิภาพ
และคนที่ยืนยันข้อมูลนี้อย่างเป็นทางการคือ เซอิจิ คิฮาระ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น
ในการให้สัมภาษณ์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เขาระบุว่า การที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธถี่และบ่อยในปีนี้คือสัญญานว่า การทดสอบระเบิดนิวเคลียร์อาจเกิดขึ้นในเร็วๆนี้
อีกหนึ่งเหตุผลที่วิเคราะห์กันว่าเป็นตัวกระตุ้นให้เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธใส่เกาหลีใต้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เนื่องจากไม่พอใจที่เกาหลีใต้ทำการซ้อมรบทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมากับสหรัฐอเมริกา
โดยการซ้อมรบเปิดฉากขึ้นเมื่อวานนี้ภายใต้รหัส "VIGILANT STORM 23” และมีกำหนดการซ้อมยาวไปจนถึงวันศุกร์
เป็นการซ้อมรบร่วมทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ 2 ชาติเคยจัดมา มีทหารนับหมื่นนายพร้อมยุทโธปกรณ์ทันสมัยจำนวนมากเข้าร่วม
เฉพาะเครื่องบินรบมีถึง 240 ลำ รวมถึงเครื่องบินขับไล่ล่องหน F-35 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดของโลกในปัจจุบันเข้าร่วมด้วย
การซ้อมรบที่จะมีไปจนถึงวันศุกร์นี้ได้มีการจำลองสถานการณ์หรือ War Game ที่คาบสมุทรเกาหลีถูกโจมตีจากศัตรูด้วย
สำหรับการซ้อมรบใหญ่ครั้งนี้มีการวิเคราะห์ว่าเพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้เกาหลีเหนือทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ หลังสำนักข่าวกรองแห่งชาติของเกาหลีใต้ คาดการณ์ว่า เกาหลีเหนืออาจมีการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ภายในเดือนนี้