ภาพการปะทะกันระหว่างประชาชนในเมืองกว่างโจวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจในชุด PPE ชาวเมืองกว่างโจวไม่พอใจกับมาตรการล็อกดาวน์ระยะยาว ที่ประกาศใช้อย่างเข้มงวดมาตลอด 3 ปี นับตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อช่วงปลายปี 2019
โดยข้อเรียกร้องของประชาชนที่ออกมาประท้วงคือ ต้องการให้รัฐบาลจีนผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลังจากประชาชนลงถนนและปะทะกับเจ้าหน้าที่หนักขึ้น ทางการกว่างโจวได้ตัดสินใจใช้กำลังตำรวจควบคุมฝูงชน เพื่อควบคุมและสลายการชุมนุม
เส้นทางประท้วงใหญ่ในจีน ความไม่พอใจที่ลุกลามเป็นการขับไล่ “สี จิ้นผิง”
จีนประท้วงในหลายเมืองใหญ่ ไม่พอใจ "โควิด-19 เป็นศูนย์"
ในขณะที่การประท้วงเริ่มลุกลามไปในเมืองกว่างโจว เมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของจีน
ด้านผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ส ได้ลงพื้นที่ไปสอบถามความเห็นของประชาชนที่อาศัยอยู่ในกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน ซึ่่งเป็นอีกพื้นที่ที่มีคนออกมาประท้วงเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนมีความเห็นว่า การล็อกดาวน์ที่ยาวนานเกินไป ทำให้การใช้ชีวิตลำบาก
อย่างไรก็ดี ยังมีประชาชนบางส่วนที่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งกลุ่มที่เห็นด้วยคือ กลุ่มผู้สูงอายุ โดยให้เหตุผลว่าการยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์อาจทำให้พวกเขาเกิดอันตราย เนื่องจากผู้สูงอายุในจีนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีน เพราะกังวลถึงผลข้างเคียงที่จะตามมา
การลุกขึ้นมาประท้วงครั้งใหญ่ของประชาชนจีน นับตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์จนถึงวันนี้ เป็นสิ่งที่โลกไม่ได้เห็นในจีนแผ่นดินใหญ่มาสักระยะ อย่างน้อยก็ในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา
ชนวนของการประท้วงครั้งนี้เกิดจากความไม่พอใจของประชาชนต่อเหตุไฟไหม้อาคารอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในเมืองอุรุมชี เมืองเอกของแคว้นซินเจียง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ทางการจีนระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 10 รายและบาดเจ็บอีก 9 ราย โดยสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้มาจากบริเวณส่วนต่อขยายของเต้ารับไฟฟ้าอันหนึ่ง
หลังจากเกิดเหตุการณ์ ประชาชนได้วิพากษ์วิจารณ์มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดของเมืองอุรุมชี ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยทำงานได้ลำบากและประชาชนหนีออกมาจากกองเพลิงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เมืองอุรุมชีปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ามาตรการโควิดเป็นศูนย์คือสาเหตุที่ทำให้การกู้ภัยทำได้ช้า
หัวหน้าหน่วยงานดับเพลิงเมืองอุรุมชียังโทษว่า ผู้พักอาศัยบางคนมีความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองในระดับต่ำ ซึ่งความเห็นนี้ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
การประท้วงในซินเจียงได้ลุกลามไปยังเมืองอื่น ๆ ของจีน ไม่ว่าจะเป็นกรุงปักกิ่ง เมืองซีอาน นานกิง อู่ฮั่น เฉิงตู นครเซี่ยงไฮ้ และล่าสุดคือ เมืองกว่างโจว ในมณฑลกวางตุ้ง
อย่างไรก็ดี ตอนนี้ประเด็นการประท้วงเริ่มบานปลายจากการผ่อนปรนมาตรการโควิดเป็นศูนย์ไปถึงการขับไล่ให้ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ลงจากตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่งจะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ของจีนได้ไม่นาน
หลังจากที่มีการประท้วงในหลายเมือง ทางการจีนก็ได้ส่งตำรวจควบคุมฝูงชนเข้าปราบปราม จับกุม และตามล่าตัวกลุ่มผู้ชุมนุม จนเมื่อวานนี้สถานการณ์ในหลายเมืองเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ดี ในระหว่างการสลายการชุมนุมและจับกุมผู้ประท้วงในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา มีรายงานว่าตำรวจในนครเซี่ยงไฮ้ได้จับกุมนักข่าวของสำนักข่าวบีบีซีที่กำลังทำข่าวประท้วง
โดยนักข่าวรายดังกล่าวมีชื่อว่า เอ็ด ลอว์เรนซ์ เขาถูกตำรวจนครเซี่ยงไฮ้จับกุมตัวหลายชั่วโมงก่อนได้รับการปล่อยตัวออกมา และเปิดเผยว่าเขาถูกตำรวจทำร้ายร่างกาย ซึ่งสร้างความกังวลต่อบีบีซีอย่างมาก และทางบีบีซีต้องการคำอธิบายและขอโทษจากจีน
หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ล่าสุดวันนี้ จ้าว หลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกมาชี้แจงประเด็นนี้แล้ว
โดยระบุว่า นักข่าวต่างชาติมีสิทธิในการรายงานข่าวได้ แต่ก็ต้องเคารพกฎหมายของจีนด้วยเช่นกัน เมื่อจะทำข่าวเกี่ยวการประท้วงก็ต้องแสดงบัตรต่อเจ้าหน้าที่และไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับการประท้วง ซึ่งนี่เป็นแนวทางปฏิบัติโดยทั่วไป
หลังจากนั้น จ้าว หลี่เจียน จึงได้กล่าวเชิงตำหนิสำนักข่าวบีบีซีว่า เหตุใดสำนักข่าวนี้จึงมีปัญหาในพื้นที่ทุกครั้ง และสหราชอาณาจักรควรเคารพข้อเท็จจริง ตลอดจนเลิกทำพฤติกรรมแบบสองมาตรฐานกับจีน
การประท้วงต่อต้านนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ไม่ใช่แค่ในเมืองใหญ่ๆของจีนเท่านั้น มีรายงานว่าคนจีนที่อาศัยอยู่ภายนอกประเทศ ก็ได้ออกมาประท้วงรัฐบาลจีนเช่นกัน
ภาพการประท้วงของกลุ่มนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ ของสหรัฐฯ โดยบรรดานักศึกษาได้ชูป้ายประท้วงรัฐบาลจีนเพื่อเรียกร้องเสรีภาพในการสร้างแสดงออก
นอกจากนี้ในกระดาษของบรรดานักศึกษา ยังมีการเขียนข้อความวิจารณ์รัฐบาลอย่าง “ไม่เอาคำโกหก” “ไม่เอาการเซ็นเซอร์” หรือ “ไม่เอาโฆษณาชวนเชื่อ”ด้วย
นอกจากที่รัฐแมสซาชูเซตส์แล้ว ยังมีประชาชนชาวจีนในนครนิวยอร์กและแคนาดาที่ออกมารวมตัวประท้วงรัฐบาลจีน โดยประชาชนที่ออกมาประท้วงได้ตะโกนไล่ให้ผู้นำจีนลงจากตำแหน่ง
ประชาชนบางคนบอกว่า นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนเป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่าเรื่องของหลักการด้านสาธารณสุข และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องเสียชีวิตเพราะนโยบายดังกล่าว
สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่การยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ แต่เป็นการเปลี่ยนระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในจีน
แม้ว่าจะมีการประท้วงทั้งในและนอกประเทศ แต่ชัดเจนแล้วว่าทางการจีนจะยังเดินหน้าใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไป แม้จะต้องแลกมาด้วยการชะลอทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ของจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยทางการจีนระบุว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ของจีนวันนี้อยู่ที่ 71,310 ราย ซึ่งเพิ่มจากเมื่อวานนี้ราว 40,000 ราย
แม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น แต่ทางการระบุว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมจากโควิดในจีนนับตั้งแต่เริ่มการระบาดยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากร
นี่ทำให้รัฐบาลจีนใช้เหตุผลข้อนี้ยืนยันมาตลอดว่า นโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนได้ผล เพราะช่วยปกป้องคนและไม่ทำให้ระบบสาธารณสุขจีนล่มสลาย
ขณะเดียวกันทางสำนักงานควบคุมโรคระบาดแห่งชาติของจีนออกมาแถลงว่า หน่วยงานกำลังจะเผยแพร่ข้อมูลการฉีดวัคซีนฉบับปรับปรุง เพื่อรับมือกับโรคระบาดที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้
โดยกลุ่มที่จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรกคือ กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
ตอนนี้ทางการจีนรายงานว่ารัฐบาลได้ฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 3,400 ล้านโดส ครอบคลุมประชากรราว 1,300 คน โดยในจำนวนนี้มี 1,270 ล้านคน ได้รับวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้ว