ขณะที่ทางการรัสเซียออกมายอมรับว่าถูกโจมตีหนักจริง แต่มีการแย้งตัวเลขความสูญเสีย โดยเมื่อวานกระทรวงกลาโหมรัสเซียบอกว่ามี 63 นาย
อย่างไรก็ตาม วันนี้มีการปรับตัวเลขทหารที่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 89 นาย สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังทำให้ชาวรัสเซียไม่พอใจและตั้งคำถามถึงยุทธวิธีของกองทัพรัสเซียในการทำสงคราม
ขณะที่ประธานาธิบดีเซเลนสกีออกมาเตือนว่า ความสูญเสียของกองทัพรัสเซียอาจนำไปสู่การเตรียมล้างแค้นครั้งใหญ่
"รัสเซีย" รับถูกโจมตีอย่างหนักจริง เสียทหารไป 63 นาย
รัสเซียโทษ “โทรศัพท์มือถือ” สาเหตุทหารโดนยูเครนถล่มยับดับ 89 นาย
ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนได้พูดเรื่องนี้ระหว่างการแถลงข่าวประจำวันเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา โดยระบุว่ารัสเซียกำลังวางแผนที่จะโจมตียูเครนครั้งใหญ่ในเร็วๆนี้ ส่วนหนึ่งของแผนดังกล่าวคือ การระดมพลเพิ่มเติม แต่ยูเครนจะพยายามทุกทางในการขัดขวางทุกทางเพื่อหยุดรัสเซียให้ได้
การสะสมระดมพลและอาวุธเพื่อกลับมาโจมตียูเครนครั้งใหญ่ในเร็วๆนี้เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายคาดการณ์ หลังจากที่เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคมต่อเนื่องมาถึงเช้าวันที่ 1 มกราคม 2023 กองทัพยูเครนสามารถล็อคเป้าและยิงขีปนาวุธเข้าโจมตีฐานทหารที่สำคัญแห่งหนึ่งของรัสเซียได้
ฐานทหารแห่งนี้ตั้งอยู่ที่โรงเรียนอาชีวศึกษาในเมืองมาคิอิฟกาของแคว้นโดเนตสก์ มีรายงานว่าในการโจมตีครั้งนี้ กองทัพยูเครนได้ใช้ข้อมูลด้านดาวเทียมจากชาติพันธมิตร ก่อนที่จะล็อคเป้า และยิงขีปนาวุธจากระบบยิงปืนใหญ่ HIMARS ที่ได้มาจากสหรัฐฯ
สื่อต่างประเทศหลายแห่งรายงานตรงกันว่า ในระหว่างเกิดเหตุ มีทหารรัสเซียอยู่ในอาคารกว่า 700 นาย ส่วนใหญ่เป็นทหารใหม่ ไม่มีประสบการณ์ในการรบ เป็นทหารที่ได้มาจากการระดมพลสำรองของกองทัพรัสเซียเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว
โดยทหารเหล่านั้นกำลังเฉลิมฉลองการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ก่อนที่ขีปนาวุธจาก HIMARS จะถล่มจนอาคารพังราบคาบ
ภาพจากสำนักข่าวรอยเตอร์แสดงให้เห็นถึงคนงานที่กำลังเคลียร์ซากอิฐและปูนอออกจากตัวอาคารที่พังราบคาบ ไม่มีความชัดเจนหรือยืนยันว่า ภาพที่เห็นเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจค้นหาผู้ที่บาดจ็บหรือสูญหายที่อาจอยู่ใต้ซากอาคารหรือไม่
ส่วนภาพถ่ายดาวเทียมของบริษัท Planet Labs ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เปรียบเทียบให้เห็นตัวอาคารที่ถ่ายไว้เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมากับภาพหลังการถูกโจมตี
หลังการโจมตี ทางการยูเครนอ้างว่า นอกเหนือจากทำลายคลังอาวุธของรัสเซียได้สำเร็จ ยังสามารถสังหารทหารรัสเซียได้ 400 นาย ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนทหารที่เสียชีวิตมากที่สุดในคราวเดียวนับตั้งแต่สงครามระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซีย อิกอร์ โคนาเชนคอฟ ออกมาแถลงแย้งข้อมูลจำนวนทหารที่เสียชีวิตทันที ในการแถลงข่าวเมื่อวานนี้มีการให้ตัวเลขว่า ทหารเสียชีวิตเพียง 63 นาย ไม่ใช่ 400 นายตามที่ยูเครนกล่าวอ้าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมามีการปรับตัวเลขทหารที่เสียชีวิตขึ้นมาเป็น 89 นายสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดปฏิกิริยาความไม่พอใจในหมู่ชาวรัสเซีย
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 กันยายนปีที่แล้ว ประธานาธิบดีปูตินลงนามในคำสั่งประกาศระดมกำลังพลสำรอง 300,000 นาย เพื่อชดเชยหรือไปเสริมกำลังพลประจำการที่รบอยู่ในยูเครน
ในช่วงนั้นรัสเซียกำลังเสียเปรียบในสมรภูมิการรบ และการเรียกกำลังพลสำรองซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
การประกาศระดมพลสำรอง หมายถึงการเกณฑ์ประชนชนคนธรรมดาเข้าร่วมรบ ทำให้รัฐบาลของประธานาธิบดีปูตินต้องเจอกับการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 7 เดือน
ผู้ชายจำนวนมากที่อยู่ในข่ายการเกณฑ์หนีออกนอกประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกส่งไปสงครามอย่างไรก็ตาม ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น กระทรวงกลาโหมของรัสเซียประกาศว่าได้กำลังสำรองครบจำนวนที่ต้องการ
สื่อหลายสำนักรายงานในช่วงนั้นว่า คนที่ถูกเกณฑ์มาจำนวนมากเป็นประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือคนไม่มีโอกาสมากทางสังคม
คนเหล่านี้ถูกส่งไปฝึกตามค่ายทหารเพื่อให้เรียนรู้พื้นฐานของการใช้อาวุธและการรบเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก่อนที่จะถูกส่งออกไปแนวรบเพื่อรบกับทหารยูเครนที่ขณะนี้มีประสบการณ์เหนือกว่ามาก
อันที่จริง กำลังพลสำรองเหล่านี้เสียชีวิตเกือบทุกวันแต่ไม่ปรากฎเป็นข่าวใหญ่ จนกระทั่งในวันที่ถูกยูเครนสังหารไปเกือบ 400 นายในคราวเดียวเมื่อคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อรับปีใหม่ที่ผ่านมา
บรรดาชาวรัสเซียที่ต้องเสียลูกเสียหลาน เสียคนในครอบครัวหรือคนที่รู้จัก ออกมาทำพิธีรำลึกถึงบรรดาเด็กหนุ่มเหล่านั้น
จำนวนมากแสดงความโกรธแค้น และพุ่งเป้าไปที่สหรัฐและชาติตะวันตกซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอาวุธให้ยูเครน
อย่างไรก็ตาม สื่อตะวันตกหลายสำนักรายงานว่า มีชาวรัสเซียจำนวนไม่น้อยกล่าวโทษรัฐบาลและกองทัพของตนเองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เว็บไซต์ของ Newsweek, BBC, The Guardian และอีกหลายสื่อรายงานตรงกันว่า มี Blogger รวมถึงนักวิเคราะห์การเมืองที่มีชื่อของรัสเซียหลายคนออกมาระบุว่า นี่คือความล้มเหลวของผู้บัญชาการกองกำลังรัสเซียที่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
Newsweek มีการอ้างอิงคำพูดของ Igor Girkin อดีตเจ้าหน้าระดับสูงของหน่วยข่าวกรองรัสเซียที่ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นที่เมืองมาคิอิฟกาไมใช่เหตุการณ์แรก เมื่อปีที่แล้วมีเหตุการณ์ที่ทหารรัสเซียต้องจบชีวิตแบบไม่ควรจบมาหลายครั้งแล้ว เนื่องจากการวางแผนที่ผิดพลาดของผู้บัญชาการรบ
ขณะที่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของประธานาธิบดีปูตินในวันนี้ ผู้นำรัสเซียได้ส่งเรือรบลำหนึ่งมุ่งหน้าสู่มหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อทำภารกิจลาดตระเวนรบ // โดยในการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ร่วมกับรัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการเรือรบ ‘แอดไมรัล กอร์ชคอฟ’ (Admiral Gorshkov) ปูตินระบุว่า เรือรบลำนี้ได้ติดตั้งขีปนาวุธร่อนไฮเปอร์โซนิค ‘เซอร์คอน’ ( Zircon) ระบบใหม่ที่ไม่มีของที่ไหนเทียบเท่า และเชื่อว่าอาวุธนี้จะช่วยรัสเซียปกป้องตนเองจากภัยคุกคามภายนอกได้
ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียระบุว่า เรือรบกอร์ชคอฟจะแล่นไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก อินเดีย และผ่านทะเลเมอร์ดิเตอร์เรเนียน โดยขีปนาวุธเซอร์คอนที่ติดตั้งบนเรือรบนี้สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือเสียง 9 เท่า มีพิสัยการบินมากกว่า 1,000 กิโลเมตร สามารถโจมตีศัตรูทั้งทางทะเลและทางบกได้อย่างแม่นยำและทรงพลัง
ทั้งนี้ รัสเซีย จีน และสหรัฐฯ ต่างกำลังแข่งกันสะสมอาวุธความเร็วเหนือเสียง เนื่องจากความเร็วและคล่องตัวในการเคลื่อนที่ของอาวุธประเภทนี้ถูกมองว่าทำให้ได้เปรียบคู่ต่อสู้ และเป้าหมายของอาวุธความเร็วเหนือเสียงก็คำนวณได้ยากกว่าเป้าหมายของขีปนาวุธข้ามทวีป