ขณะที่รัสเซียก็ออกมายอมรับว่าโดนยูเครนโจมตีอย่างหนักจริง แต่มีทหารเสียชีวิตเพียง 63 นาย แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขจากฝั่งไหน จำนวนทหารรัสเซียที่เสียชีวิตจากการโจมตีในคราวเดียวครั้งนี้ น่าจะมีจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
จุดที่ยูเครนโจมตีใหญ่ต่อทหารรัสเซียก่อนจุดดังกล่าวคือ วิทยาลัยอาชีวะแห่งหนึ่งในเมืองมาคีอิฟกาของแคว้นโดเนตสก์ โดยที่นี่ถูกทหารรัสเซียดัดแปลงเป็นฐานชั่วคราวหลังจากยึดได้เมื่อหลายเดือนก่อน
กองทัพรัสเซีย ไม่สนคืนส่งท้ายปี ระดมยิงขีปนาวุธระลอกใหม่ในยูเครน
IMF เตือน 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยปีนี้
โดเนตสก์ ซึ่งเป็น 1 ในแคว้นที่รัสเซียประกาศผนวกเป็นของตนเองเมื่อปลายเดือนกันยายนปีที่แล้วพร้อมๆ กับอีก 3 แคว้นของยูเครน นั่นก็คือ ลูฮันสก์ เคอร์ซอน และซาโปริซเซีย
แม้จะประกาศผนวกทั้ง 3 แคว้นดังกล่าวไปแล้ว แต่การสู้รบในพื้นที่ยังคงดุเดือด เพราะยูเครนต้องการยึดพื้นที่คืน
จุดสู้รบที่หนักที่สุดในโดเนตสก์ตอนนี้มี 2 จุด นั่นก็คือที่เมืองอาฟดีฟกา และ เมืองมาริงกา ซึ่งทั้งสองจุดนี้รัสเซียวางกำลังไว้อย่างหนาแน่นเพื่อรับการรุกคืบของยูเครน
สำหรับฐานทหารของรัสเซียในเมืองมาคิอิฟกาที่ถูกยูเครนถล่มไปก็อยู่ไม่ไกลจากแนวรบทั้ง 2 แนวนี้ รัสเซียยึดเมืองมาคีอิฟกาได้หลายเดือนแล้ว และตอนนี้ถูกใช้เป็นฐานสำคัญในการประจำการทหาร รวมถึงใช้เป็นคลังเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์
วันที่ยูเครนยิงขีปนาวุธถล่มอาคารของวิทยาลัยอาชีวะในเมืองนี้คือช่วงตี 1 ของวันที่ 1 มกราคม ซึ่งในขณะนั้นทหารรัสเซียในอาคารกำลังเฉลิมฉลองการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน และนี่คือวินาทีเหตุการณ์ก่อนที่ขีปนาวุธจะถล่มอาคารที่มีการทวิตโดยหลายสำนักข่าวของยูเครนรวมถึงยูโรไมดาน
ส่วนภาพนี้เป็นภาพของอาคารทั้งหลังที่พังถล่มเสียหายจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม จากการโดนขีปนาวุธจำนวน 4 ลูกโจมตี เจ้าหน้าที่พร้อมอุปกรณ์ทำการรื้อเศษซากอาคาร ท่ามกลางฝุ่นควันที่ยังคละคลุ้ง
หลังเกิดเหตุ มีการนำภาพของอาคารหลังดังกล่าวทั้งก่อนและหลังถูกขีปนาวุธถล่มมาเปรียบเทียบให้เห็นความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย
ด้านสำนักข่าวต่างประเทศเกือบทุกสำนัก ( AlJazeera, CNN, The Guardian) ก็รายงานตรงกันว่า มีทหารของรัสเซียอยู่ในอาคารดังกล่าวหลายร้อยคนในขณะที่ถูกโจมตี ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลทหารใหม่ที่เพิ่งถูกเกณฑ์มาในช่วงการระดมพลสำรองเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
หลังการโจมตี กองอำนวยการด้านสื่อสารเชิงกลยุทธ์ของกองทัพยูเครนให้ข้อมูลว่า มีทหารรัสเซียกว่า 400 นายถูกสังหาร และอีกกว่า 300 นายได้รับบาดเจ็บ
หากสิ่งที่ยูเครนกล่าวอ้างเป็นเรื่องจริง นั่นหมายความว่า การโจมตีครั้งนี้ของยูเครนคือเหตุการณ์ที่ทำให้รัสเซียสูญเสียทหารมากที่สุดในคราวเดียว นับตั้งแต่รัสเซียยกทัพเข้ารุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซีย อิกอร์ โคนาเชนคอฟ ออกมาแถลงแย้งข้อมูลจำนวนทหารที่เสียชีวิต
โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวว่า ยูเครนได้ยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทหารรัสเซียในเมืองมาคิอิฟกาในแคว้นโดเนตสก์เมื่อคืนวันสิ้นปีจริง โดยขีปนาวุธหรือจรวดที่ยูเครนยิง มาจากระบบยิงขีปนาวุธหลายลำกล้องหรือ HIMARS ที่สหรัฐฯ จัดส่งให้ พร้อมยอมรับด้วยว่า มีทหารรัสเซียเสียชีวิตจากการโจมตี แต่ไม่ได้มากเท่าที่ยูเครนกล่าวอ้าง โดยตัวเลขความสูญเสียอยู่ที่ 63 นาย
ถึงแม้ว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตที่โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงจะน้อยมาก หากเปรียบเทียบกับตัวเลขที่ทางยูเครนอ้าง แต่การออกมายอมรับและประกาศตัวเลขทหารที่เสียชีวิตของทางการรัสเซียถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อย หรืออาจเรียกได้ว่าแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย
หลายคนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ล่าสุดมีภาพประชาชนจำนวนหนึ่งในเมืองซามาราของรัสเซีย เดินทางไปวางดอกไม้ไว้อาลัยให้กับทหารและกำลังพลสำรองที่เสียชีวิตจากเหตุโจมตีนี้
นี่อาจถือได้ว่าเป็นการโจมตีที่สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับกำลังพลของรัสเซียอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา ยูเครนเพิ่งจะใช้โดรนโจมตีฐานทัพฐานทัพอากาศเอนเกลส์ ในนครซาราตอฟทางตอนกลางของรัสเซีย
ภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงที่บันทึกภาพช่วงเวลาที่ระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียยิงสกัดโดรนยูเครนที่พุ่งเข้าโจมตีฐานทัพ โดยในเหตุโจมตีดังกล่าวมีรายงานทหารรัสเซียเสียชีวิต 3 นาย
สนามบินแห่งนี้ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีเนื่องจากเป็นที่เก็บเครื่องบินรบทิ้งระเบิดรุ่นสำคัญของรัสเซีย อย่างตูโปเลฟ ตู-ไนน์ตี้ไฟว์ เอ็มเอ็ส แบร์ (Tu-95 MS Bear) และ ตูโปเลฟ ตู-วันซิกส์ซีโร่ แบล็กแจ็ค (Tu-160 Blackjack)
ท่ามกลางการสู้รบทางภาคพื้นดินที่ไม่มีความคืบหน้ามากนัก 2 เหตุการณ์นี้คือสิ่งทำให้เราได้เห็นกลยุทธ์ของทางยูเครนที่ใช้การโจมตีทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นการยิงขีปนาวุธหรือการใช้โดรน เพื่อตัดกำลังและทำลายยุทโธปกรณ์ทางการทหารของรัสเซีย
สิ่งที่น่าสังเกตุคือ วิธีการเลือกใช้อาวุธของยูเครน ในการโจมตีฐานทหาร ยูเครนใช้อาวุธที่ได้จากชาติพันธมิตร อย่าง ระบบยิงขีปนาวุธหลายลำกล้อง HIMARS ที่ได้จากสหรัฐฯ
แต่หากเป็นการโจมตีเข้าไปในแผ่นดินรัสเซียซึ่งเกิดขึ้นแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง ยูเครนเลือกที่จะใช้โดรนเข้าโจมตี มีหลายเหตุผลที่ยูเครนทำเช่นนั้น
อย่างแรกคือ พิสัยทำการของเครื่องยิงขีปนาวุธที่ชาติพันธมิตรให้ยูเครนมานั้น ไม่เพียงพอต่อการโจมตีเข้าไปในแผ่นดินรัสเซีย
อย่างเช่นฐานทัพอากาศเอนเกลส์ ในนครซาราตอฟทางตอนกลางของรัสเซีย อยู่ห่างจากชายแดนยูเครนถึง 800 กิโลเมตร ซึ่งเกินพิสัยทำการของอาวุธทุกชนิดที่ยูเครนได้มาจากสหรัฐฯและพันธมิตร
หรือถ้าทำได้ ยูเครนก็หลีกเลี่ยงไม่ใช้อาวุธจากพันธมิตร เพื่อไม่ให้พันธมิตรเหล่านั้นถูกดึงมาเผชิญหน้ากับรัสเซียโดยตรง
อีกประเด็นหนึ่งคือ อาวุธที่ได้จากชาติพันธมิตรมีจำกัด วิธีที่ดีที่สุดสำหรับยูเครนคือการใช้โดรน เพราะโดรนคือสิ่งที่ยูเครนกำลังมีความสามารถในการผลิตได้เอง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มิไคโล เฟโดรอฟ รัฐมนตรีกระทรวงเพื่อการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลของยูเครน ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า รัฐบาลกำลังวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมโดรน โดยเฉพาะโดรนโจมตีจากอากาศสู่อากาศ ที่สามารถสกัดโดรนพลีชีพสัญชาติอิหร่านที่รัสเซียกำลังใช้โจมตียูเครนอย่างหนักได้
เฟโดรอฟ บอกด้วยว่า สงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียในปี 2023 จะเป็นสงครามที่มีการใช้โดรนเข้มข้นมากขึ้น โดยโดรนและระบบดาวเทียมจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการสู้รบอย่างแน่นอน
ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ทั้ง 2 ฝ่ายมีการใช้โดรนในการทำสงครามอยู่แล้ว โดยฝั่งยูเครนส่วนใหญ่ใช้เป็นโดรนขนาดเล็กเพื่อการลาดตระเวนและชี้เป้า เช่น โดรนฟลายอายส์ (Fly eye) ที่ผลิตโดยดับบลิวบี กรุ๊ป (WB Group) บริษัทค้าอาวุธสัญชาติโปแลนด์ การประกาศพัฒนาโดรนโจมตีจากอากาศสู่อากาศของยูเครนจึงทำให้รัสเซียอยู่เฉยไม่ได้
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ระหว่างการแถลงข่าว โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศว่า จะทำลายโครงการพัฒนาและผลิตโดรนของยูเครนให้สิ้นซาก โดยอ้างด้วยว่า เมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา รัสเซียได้ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลเข้าทำลายโรงงานผลิตโดรนแห่งหนึ่ง รวมถึงฐานปล่อยโดรนของยูเครนได้สำเร็จก่อนที่ยูเครนจะใช้ก่อการร้ายในแผ่นดินรัสเซีย
ส่วนฝั่งรัสเซียก็มีการใช้โดรนอย่างเข้มข้นเช่นเดียวกันโดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนหลังของปี 2022 ที่โดรนพลีชีพอิหร่านถูกส่งเข้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานของยูเครนอย่างหนักและต่อเนื่อง
และถึงแม้โดรนจากอิหร่านจะเป็นโดรนราคาถูก แต่ก็สร้างความลำบากให้กับยูเครนอย่างมากในการที่ต้องใช้ขีปนาวุธราคาแพงขึ้นไปสกัด และในส่วนที่สกัดไม่ได้ก็สร้างความเสียหายกับระบบไฟฟ้าจนทำให้ชาวยูเครนหลายล้านคนต้องอยู่ท่ามกลางความมืดและความหนาวเหน็บ
ขณะที่พันธมิตรของยูเครนยังคงเดินหน้าให้หลักประกันว่าจะสนับสนุนยูเครนต่อไปทั้งอาวุธและงบประมาณ
โดยเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีเซเลนสกีได้เดินทางเยือนสหรัฐฯ โดยได้พบกับประธานาธิบดีไบเดนและสมาชิกสภาคองเกรสเพื่อขอหลักประกันว่าสหรัฐฯ จะยืนเคียงข้างยูเครนต่อในวันที่สงครามยืดเยื้อ โดยเฉพาะการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณที่มีเงินช่วยเหลือยูเครนมูลค่า 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 1.4 ล้านล้านบาท
และในวันนี้ผู้นำยูเครนได้ประชุมทางโทรศัพท์กับประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน โดยมีรายงานว่าหัวข้อที่จะหารือกันคือความช่วยเหลือรอบใหม่ของสหภาพยุโรปต่อยูเครนมูลค่า 1,800 ล้านยูโรหรือประมาณ 6 หมื่น 5 พันล้านบาท