ภาพบอลลูนที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้าเหนือชายฝั่งของรัฐเซาท์แคโรไลนาหลังจากที่ถูกทำลายโดยขีปนาวุธของสหรัฐฯ
โดยปฏิบัติการครั้งนี้กองทัพสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นไปหลายลำ รวมถึง F-22 ที่ถูกส่งมาจากฐานทัพอากาศแลงค์ลีย์ในรัฐเวอร์จิเนีย
โดย F-22 คือเครื่องบินที่กองทัพสหรัฐฯใช้ยิงจรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศที่มีความเร็วเหนือเสียงรุ่น AIM-9X เข้าใส่บอลลูนของจีน ก่อนที่บอลลูนลูกดังกล่าวจะแตกออกเป็นชิ้นๆและตกลงห่างจากชายฝั่งประมาณ 6 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 11 กิโลเมตร
เพนตากอนรายงานพบ “บอลลูนสอดแนม” ของจีน ลอยอยู่เหนือน่านฟ้าสหรัฐ
กองทัพสหรัฐฯ ยิงบอลลูนสอดแนมต้องสงสัยเป็นของจีนตก
ก่อนปฏิบัติการยิงลูกบอลลูนจะเกิดขึ้น สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ FAA ได้มีการประกาศปิดน่านฟ้า ห้ามเครื่องบินพลเรือนเข้าไปในบริเวณดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย
แหล่งข่าวจากเพนตากอนของสหรัฐฯระบุว่า มีความตั้งใจที่จะยิงไม่ให้บอลลูนตกห่างจากชายฝั่งมากนัก เพื่อที่จะไม่ง่ายต่อการเก็บกู้ซากของบอลลูนมาตรวจสอบ
คนจำนวนมากที่อยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งบริเวณดังกล่าวเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่า ในจังหวะที่จรวดยิงถูกบอลลูน ไม่มีเสียงดังหรือลูกไฟเกิดขึ้น บอลลูนเพียงแค่แฟบและตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างที่เห็นในภาพ
บอลลูนสอดแนมลูกดังกล่าวของจีน ถูกพบเหนือน่านฟ้าของสหรัฐฯ ที่รัฐอลาสกา ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศทั้งแต่วันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา
ก่อนที่อีก 2 วันต่อมาหรือในวันที่ 30 มกราคมมันจะลอยเข้าไปที่น่านฟ้าของประเทศแคนาดา ก่อนจะลอยกลับเข้ามาในน่านฟ้าของสหรัฐฯ อีกครั้งในวันถัดมา โดยคราวนี้อยู่บริเวณรัฐไอดาโฮ
หลังจากนั้นก็เคลื่อนตัวมาที่เหนือท้องฟ้าของรัฐมอนทานาซึ่งอยู่ทางตะวันตกของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศมาล์มสตรอม สถานที่สำหรับจัดเก็บขีปนาวุธชนิดข้ามทวีปหรือ ICBM ของสหรัฐฯ กว่า 50 ลูก
ก่อนจะเคลื่อนตัวผ่านตอนกลางของสหรัฐ และในที่สุดก็เข้าสู่น่านฟ้าเหนือมหาสมุทรแอตแลนติกด้านรัฐเซาท์แคโรไลน่าและถูกยิงตกในที่สุด
ประธานาธิบดี โจ ไบเดนของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์หลังจากที่บอลลูนถูกยิงตกว่า เขาได้สั่งการให้ยิงบอลลูนตั้งแต่วันพุธแล้ว แต่เพนตากอนให้คำแนะนำว่า ปฏิบัติการดังกล่าวมีความเสี่ยง เนื่องจากบอลลูนลอยอยู่เหนือพื้นดิน หากยิงตกลงมาอาจเป็นอันตรายได้ จึงรอจนกระทั่งบอลลูนลอยไปอยู่เหนือบริเวณที่เป็นมหาสมุทร ก่อนจะยิงตกลงมาโดยไม่มีใครได้รับอันตราย
ผู้นำสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนักข่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอย่างไร
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน จะเดินทางเยือนจีน เพื่อประสานความสัมพันธ์ที่ร้าวหนัก หลังสิงหาคมปีที่แล้ว แนนซี เพโลซี ประธานาสภาสหรัฐฯเดินทางเยือนไต้หวันโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของจีน
ทำให้เมื่อวานนี้ (4 ก.พ.)บลิงเคนออกมาประกาศเลื่อนการเดินทางครั้งสำคัญนี้ทันที โดยระบุว่า ไม่สามารถรับการกระทำของจีนที่ละเมิดอธิปไตยของสหรัฐฯได้
ขณะที่ทางกระทรวงต่างประเทศจีนได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า บอลลูนที่พบเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯเป็นของจีนจริง แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยด้านอุตุนิยมวิทยาไม่ใช่เพื่อการสอดแนม และเพราะสภาพอากาศที่ย่ำแย่จึงลอยเข้าไปน่านฟ้าของสหรัฐฯโดยไม่ได้ตั้งใจ
และหลังสหรัฐฯยิงบอลลูนดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศจีนก็ออกแถลงการณ์อีกฉบับ ระบุว่า สหรัฐฯกระทำการที่เกินกว่าเหตุ ที่ยิงทำลายบอลลูน โดยยืนยันว่าได้แจ้งไปยังสหรัฐฯ แล้ว หลังตรวจสอบแล้วว่า บอลลูนดังกล่าวมีไว้สำหรับใช้งานด้านพลเรือน และหลุดเข้าไปยังน่านฟ้าสหรัฐฯด้วยเหตุสุดวิสัย
คำถามคือ อะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของจีนในการส่งบอลลูนลูกนี้เข้าน่านฟ้าสหรัฐฯ และทำไมจีนจึงใช้บอลลูนสอดแนม ทั้งๆที่มีเทคโนโลยีการสอดแนมที่ซับซ้อนมากกว่านี้
เมื่อวานนี้ (4 ก.พ.) จอห์น พาราชินี นักวิจัยอาวุโสด้านความมั่นคงระหว่างประเทศของแรนด์ (RAND) ระบุว่า อาจเป็นไปได้ว่าเป็นความผิดพลาดจริงๆอย่างที่จีนอธิบาย แต่ก็เป็นได้สูงเช่นกันที่จีนตั้งใจทำเพื่อยั่วยุและเช็คปฏิกิริยาของสังคมอเมริกัน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ขณะนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันบางคนกำลังไม่พอใจโดยมองว่าประธานาธิบดีไบเดนดำเนินการในเรื่องนี้ช้าเดินไปและอาจมีการหยิบเรื่องนี้ไปอภิปรายในสภา
ขณะที่ประชาชนบางส่วนก็มีความเห็นในทำนองเดียวกันออกมา นั่นก็คือรู้สึกว่ารัฐบาลจัดการเรื่องนี้ช้าเกินไป และพวกเขาไม่แน่ใจว่าความลับของประเทศหลุดรั่วไปแล้วมากน้อยขนาดไหน
การสอดแนมของประเทศหนึ่งต่อประเทศหนึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ ในกรณีจีนกับสหรัฐฯ ก็เช่นเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างสอดแนมกันในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามมีข้อมูลที่น่าสนใจจากศูนย์เพื่อการศึกษายุทธศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเผยว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การสอดแนมของจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยรายงานการจับสายลับของจีนระหว่างปี 200-2011 มีทั้งหมดประมาณ 160 คดี กว่าร้อยละ 76 เกิดขึ้นในช่วงปี 2010-2011