นายกฯญี่ปุ่นคะแนนนิยมลดฮวบ หลังลูกชายถูกวิจารณ์ใช้รถหลวง-ภาษีไปท่องเที่ยว

โชทาโร คิชิดะ วัย 32 ปี เป็นลูกชายคนโตของนายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในทีมเลขานุการบริหาร ตั้งแต่เดือน ต.ค.ปีที่แล้ว ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า เขาน่าจะถูกวางตัวเป็นทายาททางการเมืองต่อจากผู้เป็นพ่อ 

แม้การสืบทอดอำนาจทางการเมืองจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลนักการเมืองญี่ปุ่น จะเป็นเรื่องปกติ แต่การแต่งตั้งลูกชายขึ้นมาทำงานใกล้ชิด ทั้งที่แทบไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้เลย ก็ทำให้ นายคิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ถูกวิจารณ์ไม่น้อยว่าเลือกที่รักมักที่ชัง 

ญี่ปุ่น-อังกฤษ ลงนามกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง

เลขาฯ UN เตือน สงครามยูเครนอาจกลายเป็นสงครามใหญ่

หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดประเด็นอื้อฉาวขึ้น เมื่อนิตยสารรายสัปดาห์ "ชูคัน ชินโช" ออกมาแฉว่า ลูกชายของนายคิชิดะใช้รถของกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น และเงินภาษีประชาชน ออกไปเที่ยวชมเมือง และชอปปิ้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่ติดตามผู้เป็นพ่อ เยือน 5 ประเทศในอเมริกาเหนือ และยุโรป ระหว่างวันที่ 9-15 ม.ค.ที่ผ่านมา

ขณะที่ นายคิชิดะ ออกมาปกป้องลูกชาย โดยยืนยันว่าเป็นการทำหน้าที่ตามคำสั่ง ซึ่งภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่ลูกชายไปถ่ายมานั้น จะนำไปโพสต์ลงบัญชีโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของเขาในภายหลัง 

ส่วนของที่ระลึก รวมถึงเนกไทของแบรนด์ "จิออร์จิโอ อาร์มานี" ที่ลูกชายเลือกซื้อมาให้จากห้างฯ แฮร์รอดส์ ในกรุงลอนดอน จะถูกมอบเป็นของฝากให้กับคณะรัฐมนตรีทุกคน ซึ่งทั้งหมดซื้อมาด้วยเงินส่วนตัวของนายคิชิดะเอง

คำชี้แจงนี้สอดคล้องกับแถลงการณ์ของ เซอิจิ คิฮาระ รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่ระบุว่า หน้าที่หลักๆ ของโชทาโร คิชิดะ ในภารกิจการเยือนครั้งนี้ คือ เยี่ยมองค์กรระหว่างประเทศ และสถาบันวิจัย เพื่อหารือแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน ถ่ายภาพแลนด์มาร์ก และสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในทุกประเทศที่ไปเยือน เพื่อนำมาใช้พีอาร์ภารกิจเยือนต่างประเทศของนายกฯ ญี่ปุ่น และสุดท้าย คือ ซื้อของฝากให้คณะรัฐมนตรีทุกคน ในนามนายกรัฐมนตรี

เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนในรัฐบาล เห็นพ้องว่า นี่เป็นวิธีที่ปฏิบัติกันเป็นปกติ และรัฐมนตรีหลายคนก็ยอมรับว่าได้ของฝากจากนายกรัฐมนตรี จริงๆ แต่ที่เรื่องนี้เป็นประเด็น น่าจะเพราะนายกรัฐมนตรี และเลขานุการบริหาร เป็นพ่อลูกกันมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ผู้นำพรรคฝ่ายค้านแย้งต่อว่า วัฒนธรรมการซื้อของขวัญของฝากระหว่างนายกฯ และคณะรัฐมนตรี หลังทริปเยือนต่างประเทศ ควรถูกยกเลิกไปด้วยเช่นกัน

นอกจากประเด็นเรื่องลูกชาย ล่าสุด นายคิชิดะยังมีเรื่องให้เสียคะแนนนิยมอีกครั้ง จากคำพูดและทัศนคติเหยียดกลุ่มหลากหลายทางเพศของ มาซาโยชิ อาราอิ ผู้ช่วยคนสนิท โดยนายอาราอิให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ตนเองคงไม่ชอบใจนัก หากมีกลุ่ม LGBT มาอาศัยอยู่ข้างบ้าน เพราะเขาไม่อยากแม้แต่จะมองคนพวกนี้ด้วยซ้ำ

เรื่องนี้ทำให้นายคิชิดะและรัฐบาลถูกวิจารณ์อย่างหนัก เพราะสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เปิดกว้างของสังคมญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบัน เป็นชาติสมาชิก G7 เพียงชาติเดียว ที่ยังไม่มีกฎหมายรับรองการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน มีเพียงเอกสารใบรับรองการเป็นคู่ชีวิต เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการและสวัสดิการต่าง ๆ ได้

ในที่สุด นายคิชิดะต้องออกมาขอโทษ และตัดสินใจปลดนายอาราอิออกจากตำแหน่งเลขานุการประจำนายกรัฐมนตรีทันที โดยให้เหตุผลว่า คำพูดของอาราอิขัดแย้งกับแนวทางของรัฐบาล ที่สนับสนุนเรื่องความหลากหลาย

ดราม่าร้อนจากคนใกล้ตัว ฉุดคะแนนนิยมของนายกฯ และรัฐบาลญี่ปุ่นให้ยิ่งลดต่ำลง โดยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ที่จัดทำโดยสำนักข่าวเกียวโด พบว่า ปัจจุบัน คิชิดะมีคะแนนนิยมอยู่ที่ 33.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลนายคิชิดะ เริ่มสั่นคลอนมาตั้งแต่เหตุลอบสังหารอดีตนายกฯ ชินโซ อาเบะ ช่วงกลางปีที่แล้ว เนื่องจากรัฐมนตรีหลายคนมีความเชื่อมโยงกับลัทธิมูน หรือโบสถ์แห่งความสามัคคี องค์กรศาสนาที่เป็นต้นเหตุความแค้นของมือสังหาร

ซึ่งตอนนั้น รัฐมนตรีหลายคนยอมลาออก เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของรัฐบาล

หากย้อนมองการเมืองญี่ปุ่น นับตั้งแต่ ชินโซ อาเบะ ลงจากตำแหน่งในปี 2020 จะเห็นว่าบรรยากาศเหมือนจะย้อนกลับไปในยุคสมัยก่อน ที่มีการเปลี่ยนตัวผู้นำปีละคน เห็นได้จาก โยชิฮิเดะ ซูกะ อดีตนายกฯ จากตระกูลชาวสวน ที่เข้ามาสานต่องานจากอาเบะได้ไม่ถึง 1 ปี ก็ขออำลาตำแหน่ง เพราะเจอวิกฤตคะแนนนิยมลดฮวบจากผลงานที่ไม่เข้าตาประชาชนในหลายเรื่อง

และตอนนี้ ดูเหมือนว่า ฟูมิโอะ คิชิดะ ที่ทำงานมาได้ 1 ปี กับอีก 4 เดือน ก็กำลังเผชิญวิกฤตไม่ต่างกัน อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกไปต่อ หรือพอแค่นี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ตามสปิริตนักการเมืองญี่ปุ่น