ขณะเดียวกัน ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติก็ได้เปิดลงมติประณามการุกรานยูเครนของรัสเซียอีกครั้ง พร้อมกับเสนอข้อมติเพื่อให้ยูเครนสามารถบรรลุสันติภาพได้ในระยะยาว
และนอกจากสมัชชาใหญ่สหประชาชาติแล้วกระทรวงการต่างประเทศจีนก็ได้เผยแพร่จุดยืนเรื่องสันติภาพเช่นกัน ในวาระที่สงครามดำเนินมาครบ 1 ปี ซึ่งเกิดขึ้นเพียง 2 วันหลังจากที่นักการทูตระดับสูงเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซีย
เจ็บแต่จบ! สงครามรัสเซีย-ยูเครน มีโอกาสสิ้นสุดในปีนี้?
ใครมีหัวรบนิวเคลียร์มากกว่ากัน? หลังปูตินส่อใช้นิวเคลียร์อีกครั้ง
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (24 ก.พ.) กระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกเอกสารประกาศแสดงจุดยืนต่อวิกฤตในยูเครน
โดยเอกสารดังกล่าวประกอบด้วยข้อเสนอ 12 ข้อ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพเรื่องบูรณาภาพทางดินแดน ละทิ้งแนวคิดยุคสงครามเย็น ร่วมกันแก้ปัญหาด้านมนุษยธรรม ปกป้องพลเรือน รวมถึงกลับมาเจรจาสันติภาพอีกครั้ง
หลังจากที่จีนได้ออกเอกสารแสดงจุดยืนดังกล่าวออกมา บรรดาผู้นำชาติพันธมิตรของยูเครนได้ออกมาให้ความเห็นทันที
หนึ่งในนั้นคือ เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการใหญ่องค์การนาโตที่ระบุว่า จีนไม่มีความน่าเชื่อถือที่เพียงพอในการพูดถึงเรื่องสันติภาพในยูเครน เพราะจีนได้แสดงความเป็นมิตรกับรัสเซียก่อนการรุกรานยูเครนและไม่เคยประณามรัสเซียเลยตั้งแต่เกิดการรุกราน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจีนจะออกมาประกาศจุดยืนต่อวิกฤตในยูเครนว่าตนเองเป็นกลาง และต้องการเห็นสันติภาพ
แต่หลายฝ่ายมองว่า ตอนนี้จีนกำลังสนับสนุนรัสเซียอยู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจครั้งใหม่และกลายเป็นภาคต่อของสงครามเย็น
สาเหตุที่ทำให้หลายฝ่ายคิดเช่นนั้น เป็นเพราะเมื่อ 2 วันก่อน ผู้เล่นสำคัญอย่างจีนยังคงเดินเกมด้วยยุทธศาสตร์ของตัวเอง ด้วยการส่งหวัง อี้ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศจีน ไปเยือนกรุงมอสโกของรัสเซีย
โดยในระหว่างการพบกัน หวัง อี้ ได้กล่าวว่า รัสเซียและจีนยังคงมุ่งมั่นต่อการสร้างโลกหลายขั้วที่ปราศจากอำนาจนำ
พร้อมกับส่งสัญญาณว่า สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีน อาจเดินทางเยือนรัสเซียภายใน 3 เดือนหลังจากนี้ตามคำเชิญของประธานาธิบดีปูติน
ท่าทีเช่นนี้ของจีน ทำให้ เน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมากล่าวว่า การเดินทางเยือนรัสเซียของหวัง อี้ เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ชี้ชัดว่าจีนช่วยหนุนรัสเซีย ท่ามกลางความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้
นอกจากนี้ การเดินทางเยือนจีนของหวัง อี้ ยังเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ เดินทางไปเยือนกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ซึ่งเป็นพื้นที่สงคราม
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นักเคราะห์มองว่า นี่เป็นการเปิดหน้าสู้กันระหว่างมหาอำนาจอย่าง สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามเย็นเมื่อหลายสิบปีก่อน
โดยนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า โลกกำลังเข้าสู่สงครามเย็นอีกครั้ง แต่ในรอบนี้จะมีคู่หลักในการเผชิญหน้าคือสหรัฐฯ ที่มียุโรปเป็นพันธมิตร กับจีน ซึ่งมีรัสเซียเป็นคู่ขัดแย้งรอง อยู่ด้วย
อย่างไรก็ดี การเผชิญหน้ากันระหว่างมหาอำนาจในรอบนี้ จะเป็นการเผชิญหน้าระหว่างอุดมการณ์ประชาธิปไตยและแนวคิดเผด็จการอำนาจนิยม ซึ่งแตกต่างจากเมื่อหลายสิบปีก่อนที่สงครามเย็นจะเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์
บทวิเคราะห์ของ CNN ล่าสุดระบุว่า รัฐบาลจีนอาจต้องการให้สงครามในยูเครนยืดเยื้อออกไป เพราะเชื่อว่า สหรัฐฯ จะอ่อนแอลงจากการที่ต้องทุ่มเททรัพยากรทางทหารและเศรษฐกิจจำนวนมากไปกับสงครามในยูเครน
และเมื่อสหรัฐฯ อ่อนแอลง ศักยภาพของสหรัฐฯ ที่จะเข้ามาขัดขวางการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย
โดยหนึ่งในวิธีที่จีนสามารถทำให้สงครามยูเครนยืดเยื้อออกไปได้คือ การสนับสนุนอาวุธให้แก่รัสเซีย
ซึ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ บรรดาชาติตะวันตกได้ออกมาเปิดเผยขณะที่เข้าร่วมการประชุมด้านคงที่นครมิวนิคว่า จีนกำลังตัดสินใจจะส่งอาวุธช่วยเหลือรัสเซีย
ล่าสุด สำนักข่าวเดอร์ สปีเกลของเยอรมนีรายงานเมื่อเช้านี้ว่า จีนกับรัสเซียกำลังเจรจาเรื่องการจัดหาโดรนพลีชีพกว่า 100 ลำ ซึ่งคาดว่าจะมีการให้รัสเซียได้เร็วที่สุดในช่วงเดือนเมษายนปีนี้
เดอร์ สปีเกลเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า กองทัพรัสเซียกำลังเจรจากับผู้ผลิตโดรนของจีนที่มีชื่อว่า “ซีอาน บิงโก อินเทลลิเจนท์ เอวิเอชั่น เทคโลยี” (Xi'an Bingo Intelligent Aviation Technology) เพื่อให้ผลิตโดรนพลีชีพให้แก่รัสเซีย
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า บริษัทดังกล่าวตกลงที่จะผลิตและทดสอบโดรนต้นแบบ ZT-180 จำนวน 100 ลำ ก่อนส่งมอบให้กับกระทรวงกลาโหมรัสเซียภายในเดือนเมษายน 2566
ด้านผู้เชี่ยวชาญคาดว่า โดรนนี้สามารถบรรทุกหัวรบที่มีน้ำหนักประมาณ 35-50 กิโลกรัม
อย่างไรก็ดี เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา หวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาชี้แจงประเด็นนี้ว่า จีนไม่มีในข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และจีนมีจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะไม่ขายหรือส่งออกอาวุธใดๆ ไปยังภูมิภาคที่มีความขัดแย้ง
ท่ามกลางสัญญาณเรื่องการส่งความช่วยด้านอาวุธจากจีนไปยังรัสเซีย และการเผยแพร่แผนสันติภาพของจีน
ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ก็ได้กลับมาเปิดการประชุมฉุกเฉินเพื่อลงมติประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซียอีกครั้งในวาระครบ 1 ปี
ญัตติในครั้งนี้มีประเด็นสำคัญคือ เรียกร้องให้รัสเซียถอนทหารออกจากยูเครนและยุติการสู้รบที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้แทนจาก 141 ชาติเห็นชอบกับญัติดังกล่าว 32 ชาติงดออกเสียง และ 7 ชาติไม่เห็นชอบ
โดยประเทศไทยได้ลงมติเห็นชอบญัตตินี้ ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เวียดนาม และมหาอำนาจในภูมิภาคอย่างจีนและอินเดีย งดออกเสียง
ด้านได ปิง อุปทูตจีนประจำสหประชาชาติ ได้เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศพยายามทำให้เกิดข้อตกลงหยุดยิง ยุติการคว่ำบาตซึ่งขัดขวางบรรยากาศการเจรจา และสร้างเงื่อนไขในการเจรจาให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ดี การประณามและข้อมติของสมัชชาสหประชาชาติที่ออกมา ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายและเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าประชาคมระหว่างประเทศไม่เห็นด้วยกับการรุกรานของรัสเซียที่ละเมิดกฎบัตรแห่งสประชาชาติ
นอกจากสหประชาชาติ ประชาชน รวมถึงหลายหน่วยงานทั่วโลกได้ออกมาแสดงจุดยืนเพื่อเคียงข้างยูเครนเช่นกัน
เมื่อคืนที่ผ่านมา ประชาชนในกรุงลอนดอนหลายร้อยคนได้มารวมตัวกันที่จัตุรัสทราฟัลการ์ เพื่อรำลึกถึงวาระครบ 1 ปีของสงครามในยูเครน
ชาวยูเครนในลอนดอนที่มาร่วมงานระบุว่า พวกเขามาแสดงออกเพื่อสนับสนุนชาวยูเครนที่ยังอยู่ในประเทศ และย้ำว่าชาวยูเครนยังคงต้องการความช่วยเหลือจากโลกอยู่
ขณะที่ถนนด้านหน้าของสถานทูตรัสเซียในกรุงลอนดอน ก็ถูกกลุ่มศิลปินและนักเคลื่อนไหวนำสีไปทาจนกลายเป็นสีเหลือง-น้ำเงิน เพื่อแสดงจุดยืนเคียงข้างยูเครน
ด้านพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร ได้ทรงมีพระราชสาส์นในวาระครบ 1 ปีของสงคราม
โดยระบุว่า สงครามที่ดำเนินมา 1 ปีสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้คนชาวยูเครน แต่ชาวยูเครนก็ได้แสดงความกล้าหาญและอดทนท่ามกลางความยากลำบาก
นอกจากนี้ พระราชสาส์นยังระบุว่า การที่สหราชอาณาจักรและพันธมิตรกำลังทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก
ส่วนประชาชนในนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ก็ได้รวมตัวกันและเดินขบวนไปตามถนนของเมืองเพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนยูเครน
ด้านแอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ออกมาประกาศว่ารัฐบาลจะส่งมอบโดรนเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนยูเครน และเรียกร้องให้ประธานาธิบดีปูตินยุติการรุกรานยูเครน
ขณะเดียวกัน เมื่อช่วงเช้าวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น ประชาชนจำนวนไม่น้อยได้นำตุ๊กตาหมีและของเล่นเด็กไปวางบริเวณที่ทำการของสหภาพยุโรป เพื่อประท้วงและแสดงจุดยืนต่อต้านการลักพาตัวเด็กชาวยูเครน ของกองทัพรัสเซียขณะเข้าไปทำสงคราม
ส่วนตอนกลางคืน อาคารสำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรปในกรุงบรัสเซลล์ประเทศเบลเยียม ก็ได้ประดับไฟสีเหลือง-น้ำเงิน เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนยูเครนเช่นกัน
นอกจากกรุงบรัสเซลล์แล้ว เมื่อคืนนี้หอไอเฟลในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้มีฉายไฟสีเหลือง-น้ำเงิน ตามสีของธงชาติยูเครน
โดยแอนน์ ฮิดัลโก นายกเทศมนตรีกรุงปารีสระบุว่า นี่คือการสนับสนุนยูเครน และแสดงจุดยืนว่ารัสเซียคือผู้รุกรานยูเครน และยูเครนจะต้องชนะ
ขณะเดียวกัน นักข่าวได้ลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์ความเห็นของชาวรัสเซียในวันครบ 1 ปีของสงคราม ชาวรัสเซียให้ความไปในทิศทางที่คล้ายกันว่า สงครามเป็นสิ่งที่เลวร้ายและนำมาซึ่งความสูญเสีย แต่รัสเซียก็ไม่มีตัวเลือก และต้องการให้สงครามนี้จบลงโดยเร็ว