ซอ ซอง อุก และ คิม ยอง มิน คู่รักเพศเดียวกันชาวเกาหลีใต้ แสดงความดีใจหลังทราบผลว่าศาลสูงกรุงโซลเกาหลีใต้กลับคำพิจารณาของศาลชั้นต้นต่อเรื่องสิทธิประโยชน์ของคู่รักเพศเดียวกัน หลังเมื่อปี 2021 ทั้งคู่ถูกยกเลิกสิทธิประโยชน์ของคู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนโดยสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (National Health Insurance Service - NHIS)
นับเป็นการก้าวไปสู่ความสำเร็จในการต่อสู้เพื่อสิทธิของคนรักเพศเดียวกันในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ยังไม่อนุญาตให้กลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) สมรสกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ผู้ก่อตั้งกลุ่มนักรบแวกเนอร์ จี้ผู้นำยูเครนสั่งถอนทหารออกจากบัคมุต
รายงานเบื้องต้นเหตุไฟไหม้ บก.น.5 เกิดจากคอมเพรสเซอร์แอร์ลัดวงจร
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 ซอง อุก และ ยอง มิน เข้าพิธีแต่งงานกันแม้จะไม่ได้รับการรับรองอย่างถูกกฎหมาย ซึ่ง ณ เวลานั้น ทั้งคู่ได้รับสิทธิประโยชน์ในฐานะคู่สมรสเฉกเช่นเดียวกับคู่รักต่างเพศจากสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานที่ประชาชนจะได้รับ
แต่ต่อมาในปี 2021 สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติได้ตรวจพบว่าทั้งคู่เป็นเพศเดียวกัน จากสื่อท้องถิ่นที่ลงข่าวของพวกเขา จึงทำการเพิกถอนสิทธิประโยชน์ไป โดยศาลชั้นต้นตัดสินว่าสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติไม่มีความผิดใดๆ จากกรณีที่เกิดขึ้น นั่นจึงทำให้ ซอง อุก ตัดสินใจฟ้องสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ เพราะเขารู้สึกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของเขาถูกพรากไปอย่างไม่เป็นธรรม
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาของพยายามต่อสู้เพื่อเรียกคืนสิทธิประโยชน์ ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ศาลสูงในกรุงโซลได้รับรองสิทธิให้แก่ทั้งคู่ โดยให้เหตุผลประกอบคำพิจารณาที่ไม่เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นว่าการไม่ให้สิทธิประโยชน์กับคนเพศเดียวกัน แต่มีให้กับคนต่างเพศ เป็นการเลือกปฏิบัติและไม่มีเหตุผลเพียงพอ
เกาหลีใต้ ประเทศที่เจริญ แต่สอบตกเรื่องความเท่าเทียม?
จาง ฮเย ยัง สมาชิกจากพรรค Justice Party ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่พยายามผลักดันร่างกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ (Anti-Discrimination Bill) ให้สัมภาษณ์กับโคเรีย เฮอรัลด์ (Korea Herald) ว่าแม้เกาหลีใต้ถูกจัดให้อยู่ในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 10 แต่เมื่อมองลึกลงไปกลับพบว่าผู้คนในสังคมตกเป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อเจอรูปแบบหนึ่งของการถูกเลือกปฏิบัติ ก็จะมีอีกหลายรูปแบบผุดขึ้นมา
ยังยกตัวอย่างว่า 7 ใน 10 ของกลุ่มวัยรุ่น LGBTQ ต้องปิดบังตัวตนในที่ทำงาน นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจที่จัดทำโดยกลุ่มวัยรุ่น LGBT ดาวูม พบว่าคนที่เป็น LGBTQ กว่าร้อยละ 40 ได้รับประสบการณ์ที่แย่จากคนในที่ทำงานที่เลือกปฏิบัติ
อีกทั้งยังมีรายงานอีกหลายฉบับถึงความเกลียดกลัวชาวต่างชาติ (Xenophobia) ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เช่น ร้านค้าไม่ให้บริการกับชาวต่างชาติ หรือแม้กระทั่งหน่วยงานท้องถิ่นบังคับให้ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศทุกคนต้องตรวจหาเชื้อโควิด 19 อย่างเคร่งครัด ในขณะที่รัฐบาลกลางก็ไม่แจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ชาวต่างชาติที่ไปเข้ารับการฉีดมาแล้วจากต่างประเทศ จนทำให้ทูตของประเทศต่างๆ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเกาหลีใต้อย่างมาก
ในขณะที่ข้อมูลจากองค์กร East Asia Forum ระบุว่าโรดหวาดกลัวคนผิดเพศ (Homophobia) พบในหมู่คนที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งกลุ่มคนที่เป็นชายรักชาย หากมีเชื้อเอชไอวี จะไม่ได้รับการบริการทางแพทย์เท่าเทียมกับคนทั่วไป และบางรายก็ถูกปฏิเสธการรักษาด้วย
ร่างกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติไม่ถึงฝั่งฝัน?
ความพยายามในการผลักดันให้เกิดร่างกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติริเริ่มขึ้นในช่วงต้นปี 2000s โดยร่างกฎหมายฉบับแรกถูกเสนอขึ้นในปี 2007 ภายใต้รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโน มู ฮยอน (Roh Moo-hyun) แต่ก็ไม่สำเร็จเนื่องจากมีกลุ่มนักการเมืองบางพรรคที่ไม่เห็นด้วย เช่น พรรคฝ่ายขวาอย่าง Christian Liberal Party (CLP) ที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมมองว่าการให้สิทธิกับกลุ่ม LGBTQ คือการกระทำที่ฝืนธรรมชาติและต่อต้านพระเจ้า
จนมาถึงมิถุนายนปี 2020 จาง ฮเย ยัง เสนอร่างกฎหมายนี้อีกครั้งโดยครอบคลุมทุกกลุ่มทั้งเพศหญิงชาย บุคคลไร้ความสามารถ อายุ สัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา และความหลากหลายทางเพศ แต่สุดท้ายก็ถูกตีตกเช่นเดิม
แต่กระนั้น เวลานี้สังคมเกาหลีใต้แปรเปลี่ยนไปแล้ว คนรุ่นใหม่ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเป็นหลัก ยังกล่าวว่าผลสำรวจหลายชิ้นชี้ให้เห็นชัดว่าแนวคิดของพรรค CLP ไม่มีแรงมากพอให้นักการเมืองในสภาชั่งใจและเพิกเฉยกับร่างกฎหมายนี้แล้ว หากแต่อีกหนึ่งสิ่งที่เธอมองว่ามีส่วนสำคัญประกอบการอภิปปรายร่างกฎหมายนี้ในที่ประชุมสภาคือ “ฉันทามติภาคประชาสังคม” (Social Consensus) ที่ใช้เป็นใบเบิกทาง ส่วนต่อจากนั้นคือแรงขับเคลื่อนจากฉันทามติของการเมือง
และเมื่อร่างกฎหมายนี้ผ่านจนออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้แล้วนั้น หากใครรู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติสามารถแจ้งไปยังคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของเกาหลีใต้ (National Human Rights Commission of Korea) โดยหลังจากคณะกรรมาธิการฯ ตรวจสอบแล้วพบว่าบุคคลมีความผิดจริงจะถูกปรับเป็นเงินสูงสุดถึง 30 ล้านวอน ซึ่งเธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเกาหลีใต้จะหลุดพ้นจากสังคมแห่งการเลือกปฏิบัติ และจะมีกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
ตำรวจสนธิกำลังจับคนร้าย ลอบวางระเบิดรองแม่ทัพภาค 4
“ศักดิ์สยาม” เตรียมคำชี้แจงเรียบร้อย หลังศาลสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่ปมซุกหุ้น