ไอจามบนยอดเขาเอเวอเรสต์ จุลินทรีย์-แบคทีเรียจะอยู่ต่อไปอีกร้อยปี?


โดย PPTV Online

เผยแพร่




นักวิทย์พบหลักฐาน การปีนเขาเอเวอเรสต์มีโอกาสทิ้ง “จุลินทรีย์-แบคทีเรีย” จากร่างกายคนไว้บนนั้น ยังไม่พบในอนาคตจะเป็นอันตรายหรือไม่

“ยอดเขาเอเวอเรสต์” ยังคงเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของบรรดานักปีนเขาและนักท่องเที่ยวที่ต้องการพิชิตยอดเขาที่สูงสุดในโลก ที่ความสูงกว่า 8,800 เหนือระดับน้ำทะเล แม้จะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับสภาวะที่โหดร้ายรุนแรงสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิหนาวจัด ออกซิเจนที่มีจำกัด รวมถึงลมและหิมะที่เป็นเหมือนปราการกั้นไม่ให้พิชิตจุดหมายสำเร็จ แต่หลายคนก็มองว่ามันเป็นประสบการณ์สุดล้ำค่าของชีวิต

คอนเทนต์แนะนำ
เลือกตั้ง 2566 : เปิดวิธีลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้า ทั้งใน-นอกเขตเลือกตั้ง
เปิดลงทะเบียนค่าไฟ สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2565
สรุปผลฟุตบอลยูโร 2024 รอบคัดเลือก 28 มี.ค. 66

แต่ทราบหรือไม่ว่า ในแต่ละครั้งที่มีนักปีนเขาเดินทางขึ้นไปบนนั้น สิ่งที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ไม่ใช่แค่รอยเท้าและความสำเร็จ แต่อาจยังรวมถึง “จุลินทรีย์-แบคทีเรีย” ด้วย

จากการวิจัยที่นำโดยมหาวิทยาลัยโคโลราโดโบลเดอร์ พบว่า บรรดานักปีนเขาได้มีการทิ้งจุลินทรีย์หรือแบคทีเรียไว้เบื้องหลัง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพวกมันจะสามารถทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรงในระดับความสูงและอยู่เฉย ๆ ในดินได้เป็นเวลาหลายสิบปีหรืออาจหลายร้อยปี

นักวิทย์เชื่อพบ “เชื้อราซอมบี้” สายพันธุ์ใหม่ ในป่าฝนบราซิล

คืนชีพ “ไวรัสโบราณ” ถูกแช่แข็ง 48,500 ปี หาคำตอบยังแพร่เชื้อได้หรือไม่?

พบเชื้อไวรัสโบราณอายุเกือบ 15,000 ปีถูกแช่แข็งอยู่ในธารน้ำแข็งทิเบต

งานวิจัยนี้เน้นย้ำถึงผลกระทบที่มองไม่เห็นของการท่องเที่ยวบนภูเขาที่สูงที่สุดในโลก และยังอาจนำไปสู่ความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก รวมถึงที่ที่สิ่งมีชีวิตอาจดำรงชีวิตอยู่ได้ เช่นบนดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือดวงจันทร์ที่หนาวเย็น

สตีฟ ชมิดท์ ศาสตราจารย์ด้านนิเวศวิทยาและชีววิทยาวิวัฒนาการ หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า “มีลายเซ็นของมนุษย์ถูกแช่แข็งอยู่ในระบบนิเวศของเอเวอเรสต์ แม้ว่าจะอยู่ที่ระดับความสูงขนาดนั้นก็ตาม”

ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถสรุปได้ว่า แบคทีเรียหรือจุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ในตัวอย่างที่เก็บได้จากพื้นที่สูงกว่า 8 กิโลเมตรเป็นอย่างไร การศึกษานี้นับเป็นครั้งแรกที่เทคโนโลยีการจัดลำดับยีนสมัยใหม่ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ดินจากระดับความสูงของยอดเขาเอเวอเรสต์ ทำให้นักวิจัยได้รับข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ เกี่ยวกับเกือบทุกอย่างที่อยู่ในนั้น

นักวิจัยบอกว่า พวกเขาไม่แปลกใจที่พบจุลินทรีย์ที่มนุษย์ทิ้งไว้ จุลินทรีย์มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ในอากาศ และสามารถพัดพาไปรอบ ๆ และไปนอนนิ่งห่างจากแคมป์หรือทางเดินได้อย่างง่ายดาย

“ถ้ามีใครสั่งน้ำมูกหรือไอ นั่นอาจทำให้มีจุลินทรีย์ไปปรากฏบนนั้น” ชมิดท์กล่าว และเสริมว่า ที่น่าแปลกใจคือ จุลินทรีย์บางชนิด ที่ปกติจะเจริญเติบโตได้เฉพาะในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและเปียกชื้น เช่น ในจมูกและปากของเรา กลับมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะอยู่รอดในสภาวะที่รุนแรงของเอเวอเรสต์ได้

ก่อนหน้านี้ ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดโบลเดอร์ได้สุ่มตัวอย่างดินจากทุกที่ ตั้งแต่แอนตาร์กติกาและเทือกเขาแอนดีส ไปจนถึงเทือกเขาหิมาลัยและอาร์กติก และพบว่า จุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ไม่ปรากฏในสถานที่เหล่านี้มากเท่ากับที่ปรากฏในตัวอย่างล่าสุดจากดินของเอเวอเรสต์

นิโคลัส ดราโกน และอดัม โซลอน บัณฑิตจากภาควิชานิเวศวิทยาและชีววิทยาวิวัฒนาการ มหาวิทยาลัยโคโลราโดโบลเดอร์ หัวหน้าทีมวิจัย ได้วิเคราะห์ดินด้วยการใช้เทคโนโลยีการหาลำดับยีนรุ่นใหม่ และเทคนิคการเพาะเลี้ยงแบบดั้งเดิม

พวกเขาสามารถระบุดีเอ็นเอของจุลินทรีย์ที่มีชีวิตหรือตายแล้วในดินได้เกือบทุกชนิด จากนั้นพวกเขาทำการวิเคราะห์ทางชีวสารสนเทศศาสตร์อย่างละเอียดเกี่ยวกับลำดับดีเอ็นเอ

ลำดับดีเอ็นเอของจุลินทรีย์ส่วนใหญ่ที่พบมีความคล้ายคลึงกับสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงหรือ “Extremophilic” ที่เคยตรวจพบในพื้นที่สูงอื่น ๆ ในเทือกเขาแอนดีสและแอนตาร์กติกา สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุดที่พวกเขาพบคือเชื้อราในสกุล Naganishia ที่สามารถทนต่อความเย็นและรังสีอัลตราไวโอเล็ตในระดับที่รุนแรงได้

แต่พวกเขายังพบดีเอ็นเอของจุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างมาก รวมถึง Staphylococcus หนึ่งในแบคทีเรียที่พบได้บ่อยที่สุดบริเวณผิวหนังและจมูก รวมถึง Streptococcus ซึ่งพบมากในปากของมนุษย์

แบคทีเรียเหล่านี้มีทั้งกลุ่มที่ไม่ได้ก่อโรคหรือเป็นต่อสมุษย์หรือสัตว์ แต่ก็มีบางสายพันุ์ที่อาจเป็นสาเหตุของโรครุนแรงบางอย่างได้

ที่ระดับความสูง จุลินทรีย์มักถูกฆ่าโดยแสงอัลตราไวโอเลตและอุณหภูมิเย็นจัด เฉพาะตัวที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอด นั่นหมายความว่า จุลินทรีย์ที่มนุษย์พาขึ้นสู่ที่สูง จะอยู่นิ่งเฉย ๆ หรือตายไป

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีโอกาสที่จุลินทรีย์อย่าง อย่าง Naganishia อาจเติบโตได้ในเวลาสั้น ๆ ถ้าเผอิญมีน้ำและแสงแดดที่สมบูรณ์แบบให้ความร้อนเพียงพอที่จะช่วยให้มันเจริญได้ในชั่วขณะ

ทั้งนี้ งานวิจัยนี้ยังไม่ได้มีการศึกษาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในวงกว้าง รวมถึงไม่ได้ระบุด้วยว่า จุลินทรีย์หรือแบคทีเรียต่าง ๆ ที่ถูกทิ้งไว้นี้ ในอนาคตพันปีหมื่นปี จะส่งผลอย่างไรต่อโลกบ้างหรือไม่ แต่ข่าวก่อนหน้านี้ที่มีการพบไวรัสโบราณถูกแช่แข็งอยู่ในธารน้ำแข็งก็ทำให้เกิดความกังวลว่า สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ถูกกักเก็บไว้เหล่านี้ อาจนำความหายนะมาสู่โลกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกยังคงร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อยู่อย่างนี้

 

เรียบเรียงจาก Science Daily

ภาพจาก AFP

คอนเทนต์แนะนำ
ถั่ว 4 ชนิด อุดมด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระยับยั้งก่อมะเร็ง!
วันสุดท้าย! ยื่นภาษีออนไลน์ 2565
พระบรมราชโองการฯ “รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา” พ้นอธิบดีกรมอุทยานฯ

TOP ต่างประเทศ
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ