เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญก้าวหน้าเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย แต่ปัญหาสำคัญที่รัฐบาลกำลังพยายามแก้ไข ก็คือ ราคาที่พักและอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทบกับคนที่อยู่ในวัยกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว
การย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่สำหรับหนุ่มสาวชาวฮ่องกง นี่อาจเป็นความฝันที่ใหญ่เกินตัว จากปัจจัยราคาที่พักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลวิจัยใหม่เผย ปีที่แล้วยอดตายจากความร้อนในยุโรป สูงถึง 61,600 คน
“อีลอน มัสก์” เผย ทวิตเตอร์เงินติดลบ โฆษณาหาย 50%
ปูตินเสนอชื่อ “แอนเดรย์ โทรเชฟ” เป็นหัวหน้ากลุ่มแวกเนอร์คนใหม่
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 เดือนก่อน “เชลซี ทัง” (Chelsea Tung) พนักงานขายประกัน วัย 23 ปี เริ่มเข้าพักที่โฮสเทล หรือห้องพักราคาถูกของรัฐบาล ที่ใช้ชื่อว่า BeLIVING ซึ่งเปิดให้คนหนุ่มสาวเช่าพักระยะสั้นได้สูงสุดเป็นเวลา 5 ปี
ทัง ยอมแชร์ห้องขนาด 30 ตารางเมตร ที่ไม่มีห้องน้ำส่วนตัว และมีพื้นที่ใช้สอยใหญ่พอจะวางได้แค่เตียงนอน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แลกกับอิสรภาพและการได้แยกออกจากบ้านของพ่อแม่
ทัง มองว่าการเข้าพักที่โฮสเทลนี้ เปิดโอกาสให้เธอได้ใช้ชีวิตอยู่กับแฟนหนุ่ม โดยที่ยังสามารถรักษาคุณภาพชีวิตและประหยัดเวลาเดินทาง ขณะเดียวกัน พวกเขายังสามารถเก็บเงินไว้ซื้อห้องของตัวเองในอนาคตได้
ค่าเช่าโฮสเทล ปัจจุบัน อยู่ที่เดือนละ 4,100 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือเกือบ 19,000 บาท ซึ่งถือว่าถูกกว่าห้องเช่าอื่น ๆ ในย่านเดียวกันถึง 30%
"เดิมที เราจะต้องจ่ายประมาณ 1 - 2 แสนดอลลาร์ฮ่องกง สำหรับห้องพักที่มีเครื่องใช้พื้นฐานพวกนี้ เราไม่อยากเลือกทางนั้น เพราะถ้าออกไปเช่าห้องข้างนอกปีนึง ราคาจะพอ ๆ กับการดาวน์บ้านหลังหนึ่ง แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย" ทังกล่าว
ข้อมูลจากบริษัทวิจัย “เดโมกราเฟีย” ชี้ว่า ฮ่องกงติดอันดับเมืองที่ราคาที่พักอาศัย ทั้งบ้าน อะพาร์ตเมนต์ และคอนโดมิเนียม แพงเกินเอื้อมที่สุดในโลก 13 ปี ติดต่อกัน และปัญหาที่อยู่อาศัยนี้เองที่เป็นสาเหตุนำไปสู่ปัญหาสังคมต่าง ๆ อีกมาก
แม้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยจะมีตัวเลือกจากโครงการที่พักอาศัยที่รัฐอุดหนุน แต่ระยะเวลารอคิวก็ไม่ต่ำกว่า 5 ปี และผู้ที่ได้รับการพิจารณาเป็นอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัวใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ฉะนั้น คนหนุ่มสาว โดยเฉพาะคนโสด จึงแทบจะไม่มีโอกาสเลย
สำหรับโครงการจัดสรรที่พักอาศัยราคาถูกสำหรับกลุ่มคนหนุ่มสาว ริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2011 โดยผู้ที่สนใจสมัครเข้าพัก จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ คือ อายุ 18-31 ปี มีรายได้เดือนละไม่ถึง 25,000 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 115,000 บาท และมีทรัพย์สินมูลค่าไม่ถึง 380,000 ดอลลาร์ฮ่องกง จึงจะได้รับเลือกให้เข้าไปสอบสัมภาษณ์
ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าพักในโฮสเทลของรัฐ จะต้องทำกิจกรรมหรืองานการกุศลให้ครบ 200 ชั่วโมง เพื่อรักษาสิทธิในการเข้าพักไว้
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้่เพิ่งจะได้รับความสนใจเมื่อปีที่แล้ว หลังการเยือนของ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งจี้ให้รัฐบาลฮ่องกงเร่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่พักอาศัยในหมู่คนรุ่นใหม่ เพราะรัฐบาลปักกิ่งเชื่อว่า นี่น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้คนหนุ่มสาวลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล และเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งใหญ่ในปี 2019
"ถ้าคนหนุ่มสาวมีอนาคต ฮ่องกงก็จะมีอนาคตไปด้วย เราต้องทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงแนวโน้มภาพรวมของการพัฒนาในระดับชาติและระดับโลก เพื่อสร้างสำนึกความภาคภูมิใจในชาติและการเป็นเจ้าของ เราต้องช่วยคนหนุ่มสาวแก้ปัญหาที่พวกเขาเผชิญ ทั้งเรื่องการศึกษา การจ้างงาน การสร้างธุรกิจ และการมีบ้านเป็นของตัวเอง" ผู้นำจีนกล่าว
อเล็กซ์ ยุง ประธานสมาพันธ์เยาวชนฮ่องกง เชื่อว่า ผลประโยชน์และสวัสดิการจากโฮสเทลจะส่งผลดีกับสุขภาพจิตของคนรุ่นใหม่
ในช่วงแรก ฮ่องกงมีโฮสเทลของรัฐแค่เพียง 1 แห่ง รองรับได้ 80 เตียง ซึ่งรัฐบาลรับปากจะเพิ่มจำนวน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน โดยตั้งเป้าจะแปลงโรงแรมเป็นห้องพัก 3,000 เตียง ภายใน 5 ปี เพิ่มจากโครงการเดิม จำนวน 3,400 ห้อง ซึ่งมีทั้งที่ต้องสร้างใหม่ และพัฒนาจากอาคารขององค์กรไม่แสวงหากำไร
ผลสำรวจจากสมาพันธ์คุ้มครองสิทธิในการมีที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ พบว่า ในเดือน พ.ค.มีผู้สมัครเข้าพักแค่เพียงเล็กน้อย โดยเกือบ 90% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า ไม่มีแผนจะสมัคร และส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเก็บเงินไว้ซื้อที่พักของตัวเองในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครเข้าอยู่ที่โฮสเทล BeLIVING ก็ยังมากกว่าจำนวนเตียงที่มี ในอัตราส่วน 5 ต่อ 1
ไก หมิง ยิบ ศาสตราจารย์ด้านการเคหะและการพัฒนาเมือง จากมหาวิทยาลัยฮ่องกง มองว่า โครงการโฮสเทลของรัฐ ยังตอบสนองผู้พักอาศัยได้ในปริมาณจำกัด ซึ่งอาจยิ่งสร้างความไม่พอใจในกลุ่มคนรุ่นใหม่ หากรัฐบาลสนใจที่จะแก้ปัญหานี้จริง ๆ ควรจะไปรื้อตั้งแต่โครงสร้างนโยบาย
