ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคครั้งที่ 30 (APEC 2023) นับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เดินทางเยือนสหรัฐฯ รวมถึงยังได้พบปะกับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทั้งสองได้บรรลุข้อตกลงหลายเรื่อง ทั้งการควบคุมเฟนทานิล การสื่อสารทางทหาร และปัญญาประดิษฐ์ แต่ทั้งสามเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์กับทางสหรัฐฯ มากกว่าจนเกิดคำถามว่า แล้วทางจีนได้อะไร?
กัมพูชาเปิดสนามบินแห่งใหม่ ด้วยทุนสนับสนุนจากจีน
สหรัฐฯ-จีน ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางทหารสำเร็จ เปิดช่องทางต่อสายฉุกเฉิน
ย้อนรอยโครงการ "ตำรวจจีนในอิตาลี" มีจุดเริ่มต้น-จุดจบอย่างไร?
แม้จะไม่ได้ผลประโยชน์ชัดเจนจากการเจรจา แต่ดูเหมือนว่าผู้นำสีจะบรรลุเป้าหมายของตนเอง นั่นคือ การผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง ซึ่งคาดว่าอาจจะช่วยในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนได้มากขึ้น และยังเพิ่มโอกาสที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่ก่อนหน้านี้หลีกเลี่ยงจีน
ในการกล่าวต่อสาธารณะ สี จิ้นผิง แนะว่า จีนแสวงหาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับสหรัฐฯ และเขาบอกกับผู้นำทางธุรกิจว่า จีนพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนและมิตรให้กับสหรัฐฯ คำพูดเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่ภาคธุรกิจต่างชาติโดยเฉพาะ
ปัจจุบัน เศรษฐกิจของจีนกำลังชะลอตัว และเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เพิ่งมีรายงานการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศรายไตรมาสอยู่ในเกณฑ์ขาดดุล ประกอบกับการถอดรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีกลาโหมอย่างกะทันหันและไม่ทราบสาเหตุทให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง เพราะมองว่าการเมืองไม่มีเสถียรภาพ
แต่เมื่อ สี จิ้นผิง ให้คำมั่นสัญญากับไบเดนในการหยุดยั้งการหลั่งไหลของเฟนทานิลไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นความต้องการแรก ๆ ของไบเดน การตอบแทนที่ สี จิ้นผิง ได้รับก็คือ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ถอดสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เพื่อความมั่นคงสาธารณะของจีนออกจากรายชื่อคว่ำบาตรทางการค้าของกระทรวงพาณิชย์
ก่อนหน้านี้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ฯ ถูกจัดให้อยู่ในบัญชีดำของสหรัฐฯ เมื่อปี 2020 เนื่องมาจากข้อกล่าวหาว่า มีการปฏิบัติมิชอบต่อชาวอุยกูร์
นักวิจารณ์เตือนว่า การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรสถาบันดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณไปยังจีนว่า รายชื่อในบัญชีดำนิติของสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่สามารถต่อรองได้ และตั้งคำถามถึงความมุ่งมั่นของฝ่ายบริหารของไบเดนที่จะกดดันจีนเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์ของรัฐบาลจีน
โฆษกคณะกรรมการนโยบายจีนของสภาผู้แทนราษฎรที่นำโดยพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า “สิ่งนี้บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรายชื่อบัญชีดำและอำนาจทางศีลธรรมของเรา”
กระนั้น แม้ไบเดนจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางทหารกับจีนสำเร้จ เปิดช่องทางการติดต่อฉุกเฉิน รวมถึงจีนอาจยินดีกับความตึงเครียดที่ลดลง แต่นักวิเคราะห์คาดว่า จีนไม่น่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางทหารที่สหรัฐฯ มองว่าเป็นอันตราย เช่น การสกัดกั้นเรือและเครื่องบินของสหรัฐฯ ในน่านน้ำสากล ซึ่งนำไปสู่การพิพาทหลายครั้ง
เครก ซิงเกิลตัน ผู้เชี่ยวชาญจีนประจำมูลนิธิเพื่อการป้องกันประชาธิปไตย กล่าวว่า “จีนเกรงว่าสายด่วนอาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการมีอยู่ของสหรัฐฯ ในพื้นที่ที่ตนอ้างว่าเป็นของตนเอง”
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์มองว่า การเดินทางเยือนสหรัฐฯ และพบไบเดนครั้งนี้ของ สี จิ้นผิง ยังหวังผลเพื่อการสื่อสารไปยังประชาชนในประเทศด้วย
โดยภาพการเดินชมสวนของสีกับไบเดน และการต้อนรับด้วยความเคารพอย่างมากจากเจ้าภาพชาวอเมริกัน ถูกสื่อจีนนำไปเสนอและเน้นย้ำให้ผู้ชมในประเทศจีนเห็นว่า ประธานาธิบดีของพวกเขากำลังจัดการความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่สำคัญที่สุดของประเทศ
ดรูว์ ทอมป์สัน อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม ซึ่งปัจจุบันเป็นนักวิชาการที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า “สี จิ้นผิง อาจคำนวณได้ว่า การคุกคามสหรัฐฯ มากเกินไป อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อจีนและจุดยืนของเขาในพรรคและตัวพรรคเอง”
เขาเสริมว่า “คำถามที่ว่า จีนเป็นพื้นที่ที่สามารถไปลงทุนได้หรือไม่นั้น เป็นปัญหาที่แท้จริงสำหรับจีน”
ด้าน หลี่ หมิงเจียง ศาสตราจารย์จากโรงเรียนนานาชาติศึกษาราชรัตนัมในสิงคโปร์ กล่าวว่า จีนตระหนักดีว่า ยังคงจำเป็นที่จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างปกติกับสหรัฐฯ และประเทศตะวันตก เพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ “มันเป็นแรงผลักดันพื้นฐานเบื้องหลังการประชุม”
เรียบเรียงจาก Reuters
ภาพจาก Brendan Smialowski / AFP
ช็อก! “ดีเจโก” กรีนเวฟ พลัดตกโรงแรมในซอยสุขุมวิท 20 เสียชีวิต!
เชียร์ "แอนโทเนีย" รอบตัดสิน Miss Universe 2023 เช้า 19 พ.ย.นี้