เมื่อพิจารณาจากอายุและขนาดของกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราแล้ว การตามหาอารยธรรมของสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ทรงภูมิปัญญาดูเหมือนน่าจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่เพราะเหตุใดที่ผ่านมาชาวโลกจึงยังคงไม่พบตัวหรือสื่อสารกับพวกเขาได้เลย
การศึกษาวิจัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะ “อารยธรรมต่างดาวมีความก้าวหน้าเกินกว่าที่เราจะตรวจจับได้”
นักวิจัยในสหรัฐฯ ตั้งสมมติฐานว่า หากมนุษย์ต่างดาวมองมายังโลก พวกเขาจะสามารถสังเกตเห็นแสงสะท้อนจากแผงโซลาร์เซลล์ของเราหรือไม่ และกลับกัน เราจะสามารถค้นพบสิ่งมีชีวิตนอกโลกด้วยวิธีเดียวกันนี้ได้หรือไม่
นักวิจัยจำลองดาวเคราะห์นอกระบบที่คล้ายกับโลกขึ้นมา และจำลองระดับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่แตกต่างกัน จากนั้นตรวจสอบว่า กล้องโทรทรรศน์ขั้นสูงสามารถตรวจจับแผงโซลาร์เซลล์จากระยะทาง 30 ปีแสงได้หรือไม่
ปรากฏว่า กล้องโทรทรรศน์สามารถตรวจจับแผงโซลาร์เซลล์ได้ แต่มีเงื่อนไข คือจะต้องมีแผงโซลาร์เซลล์ปกคลุมพื้นดินของโลกประมาณ 23% จึงจะมองเห็นได้ นอกจากนี้ กล้องโทรทรรศน์ยังต้องใช้เวลาหลายร้อยชั่วโมงในการระบุสัญญาฯ
นั่นหมายความว่า การค้นหาอารยธรรมที่ก้าวหน้ามากอาจยากพอ ๆ กับการค้นหาอารยธรรมที่ไม่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพียงพอ
นักดาราศาสตร์พยายามค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตในจักรวาลแทนที่จะรอให้มนุษย์ต่างดาวเดินทางมาหาเรา โดยใช้ทั้งการตรวจสอบร่องรอยทางชีวภาพ (ไบโอซิกเนเจอร์) เช่น มีเทนในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ หรือร่องรอยทางเทคโนโลยี (เทคโนซิกเนเจอร์) เช่น การส่งสัญญาณวิทยุ
การศึกษาล่าสุดเลือกศึกษาแผงโซลาร์เซลล์ซึ่งเป็นเทคโนซิกเนเจอร์ เนื่องจากการวิจัยก่อนหน้านี้พบว่า แผงโซลาร์เซลล์สะท้อนแสงอัลตราไวโอเลตได้ดีกว่าความยาวคลื่นอื่น ๆ
วิธีนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถค้นหาร่องรอยที่ชัดเจนได้เท่านั้น แต่พลังงานแสงอาทิตย์ยังเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการสร้างพลังงานให้กับอารยธรรมใด ๆ อีกด้วย เนื่องจากซิลิกอนและแสงดาวฤกษ์เป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปในจักรวาล
แต่จากการค้นพบนี้ ทีมวิจัยพบว่า พลังงานแสงอาทิตย์ไม่ใช่เทคโนซิกเนเจอร์ที่ดีเท่าไรนัก
ก่อนอื่น พวกเขาคำนวณว่า ต้องใช้ที่ดินบนโลกมากแค่ไหนจึงจะผลิตพลังงานได้เพียงพอกับความต้องการของแผงโซลาร์เซลล์ โดยอ้างอิงจากข้อมูลในปี 2022 ซึ่งระบุว่า หากโลกใช้พลังแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียว จะใช้พื้นที่บนพื้นดินเพียง 2.4% ของโลก หรือแม้บนโลกจะมีประชากร 1 หมื่นล้านคน ก็จะใช้พื้นที่บนโลกเพียง 3% เท่านั้น
เช็กพื้นที่ 35 จว.เฝ้าระวังน้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลาก 9 ลำน้ำเสี่ยงล้นตลิ่ง!
5 แหล่งอาหารช่วยบำรุงความจำ ชะลอความเสื่อมของสมอง
โปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม 1.22 แสนล้าน รองรับ "ดิจิทัลวอลเล็ต"
ดังนั้น การจะพบอารยธรรมต่างดาวที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์หรือเทคโนซิกเนเจอร์ใด ๆ ด้วยพื้นที่มากขนาดนั้นจึงเป็นเรื่องยากมาก
ทางช้างเผือกมีขนาดใหญ่และเก่าแก่มาก จนตามสถิติแล้ว ควรมีอารยธรรมทรงภูมิปัญญาจำนวนมากที่ตั้งอาณานิคมในระบบดาวของตนเองหรือระบบดาวเพื่อนบ้าน และอย่างน้อยก็น่าจะมีบางส่วนที่กระจายตัวไปทั่วกาแล็กซี
คำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ที่เป็นไปได้คือ โลกอาจตั้งอยู่ในส่วนที่เงียบสงบของจักรวาล หรือเราอาจไม่ได้มองให้กว้างพอหรือใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีที่เหมาะสม หรือที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เราอาจโดดเดี่ยวอยู่ในจักรวาลนี้อย่างแท้จริง
การศึกษาใหม่นี้เพิ่มความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ สิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องตามหาสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่น
ราวี คอปปาราปู นักวิทยาศาสตร์ด้านดาวเคราะห์จากศูนย์การบินอวกาศก็อดดาร์ดขององค์การนาซา หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า “อารยธรรมต่างดาวอาจไม่รู้สึกว่าต้องขยายตัวไปทั่วทั้งกาแล็กซี เนื่องจากพวกเขาอาจบรรลุระดับประชากรและการใช้พลังงานที่ยั่งยืนได้ แม้ว่าจะมีมาตรฐานการครองชีพที่สูงมากก็ตาม”
เขาเสริมว่า “พวกเขาอาจขยายตัวภายในระบบดาวฤกษ์ของตนเอง หรือแม้แต่ภายในระบบดาวฤกษ์ใกล้เคียง แต่อารยธรรมที่ครอบคลุมกาแล็กซีอาจไม่มีอยู่จริง”
อ่านงานวิจัยฉบับเต็ม ที่นี่
เรียบเรียงจาก Science Alert