“ญี่ปุ่น” หนึ่งในประเทศที่มีวัฒนธรรมการทำงานสุดโหด ชนิดที่การทำงาน 12 ชั่วโมงตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่มแทบจะเป็นเรื่องปกติในบางบริษัท หรือหนักหน่อยก็อาจต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำยันเช้า
แน่นอนว่าการทำงานหนักเกินไปอาจทำให้หลายคนอยากลาออก แต่ในสังคมที่แค่การขอเลิกงานตรงเวลาหรือลาพักร้อนยังเป็นเรื่องยาก นับประสาอะไรกับการเดินไปยื่นจดหมายขอลาออก
การทำงานไม่นานแล้วยื่นใบลาออกถือเป็นการกระทำที่ไม่ให้เกียรติอย่างยิ่งในญี่ปุ่น ซึ่งมีวัฒนธรรมที่พนักงานมักจะทำงานให้กับนายจ้างรายเดียวเป็นเวลานานหลายสิบปี หรืออาจจะตลอดชีวิต
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เจ้านายที่อารมณ์ร้ายอาจจะฉีกจดหมายลาออกและคุกคามพนักงานเพื่อบังคับให้พวกเขาทำงานต่อ
ยูกิ (นามสมมติ) วัย 24 ปี อดีตพนักงานบริษัทโทรคมนาคมและการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เล่าว่า เธอเคยทำงานหนักในออฟฟิศวันละ 12 ชั่วโมง และเคยออกจากออฟฟิศช้าสุดตอน 23.00 น. จนเธอเริ่มมีปัญหาด้านสุขภาพ ทั้งอาการขาสั่นและมีปัญหาเกี่ยวกับท้อง
อาลัย "ยุวดี มีทำ" นักธุรกิจสาวเจ้าของแคบหมึก "โอเชี่ยนบอย"
กาง 9 ประเด็นร้อน! รอสอย “นายกอิ๊งค์-พรรคเพื่อไทย”
พยากรณ์ฝนล่วงหน้า 1-10 ก.ย. ร่องมรสุมพาดผ่าน ฝนตกหนักถึงหนักมาก
ยูกิไม่พอใจกับงานเก่าของเธอ โดยบอกว่าอดีตหัวหน้ามักจะเพิกเฉยต่อเธอ ทำให้เธอรู้สึกแย่ แต่เธอไม่กล้าลาออก “ฉันกลัวว่าอดีตนายจ้างจะปฏิเสธการลาออกของฉันและให้ฉันทำงานต่อไป”
แต่เธอพบวิธีที่จะทำให้เธอสามารถลาออกได้สำเร็จ นั่นคือ “บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการลาออก” ที่จะช่วยให้พนักงานลาออกจากที่ทำงานได้
พนักงานชาวญี่ปุ่นจำนวนมากขึ้นจ้างบริษัทตัวแทนเหล่านี้เพื่อช่วยให้พวกเขาลาออกได้โดยไม่ต้องเครียด
อุตสาหกรรมนี้มีอยู่ตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด-19 แต่ความนิยมกลับเพิ่มขึ้นหลังโรคระบาดคลี่คลาย โดยหลายปีมานี้ การทำงานจากที่บ้านทำให้แม้แต่พนักงานที่ภักดีต่อบริษัทบางคนยังต้องทบทวนชีวิตการทำงานของตนเอง
ไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการว่า บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการลาออกมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนในญี่ปุ่น แต่ผู้บริษัทเหล่านี้สามารถยืนยันถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้
คาวามาตะ ชิโอริ ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการของ “โมมูริ” (Momuri) หนึ่งในบริษัทรับจ้างลาออก กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับคำถามความสนใจจากลูกค้ามากถึง 11,000 ราย
บริษัทตั้งอยู่ในมินาโตะ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว และเปิดตัวในปี 2022 ด้วยชื่อที่พยายามจะสะท้อนถึงลูกค้าที่หมดหนทางของบริษัท โดยในภาษาญี่ปุ่นคำว่า “โมมูริ” แปลว่า “ฉันทำไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
บริษัทคิดค่าใช้จ่าย 22,000 เยน (ราว 5,150 บาท) สำหรับลูกค้าที่เป็นพนักงานประจำ ส่วนพนักงานพาร์ตไทม์จะคิดเพียง 12,000 เยน (ราว 2,800 บาท) โดยให้คำมั่นว่าจะช่วยพนักงานยื่นใบลาออก เจรจากับบริษัท และแนะนำทนายความหากเกิดข้อพิพาททางกฎหมาย
คาวามาตะบอกว่า “บางคนมาหาเราหลังจากจดหมายลาออกถูกฉีก 3 ครั้ง และนายจ้างไม่ยอมให้พวกเขาลาออกแม้ว่าพวกเขาจะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อโค้งคำนับแล้วก็ตาม”
เธอเสริมว่า “บางครั้งเราได้รับโทรศัพท์จากผู้คนที่ร้องไห้ถามเราว่า พวกเขาสามารถลาออกจากงานได้หรือไม่ เราบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร และการลาออกจากงานเป็นสิทธิแรงงาน”
เธอเล่าว่า พนักงานบางคนบ่นว่าเจ้านายคอยรังควานหากพวกเขาพยายามลาออก รวมถึงแวะไปที่อะพาร์ตเมนต์ของพวกเขาเพื่อกดกริ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่ยอมกลับไป
คาวามาตะเคยเจอเคสหนึ่ง ซึ่งพนักงานที่ลาออกถูกเจ้านายลากตัวไปที่วัดในเกียวโตเพื่อ “ล้างคำสาป” เธอเล่าว่า “พนักงานคนนี้ถูกบอกให้ไปที่วัด และให้องเมียวจิปัดเป่าเพราะพวกเขาถูกสาป”
คาวามาตะกล่าวว่า เคสส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานให้กับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง โดยธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารมีความเสี่ยงมากที่สุด รองลงมาคือธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพและสวัสดิการ
ประเทศญี่ปุ่นมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “คาโรชิ” หรือ “การเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไป” โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ระบุว่า ในปี 2022 มีผู้เสียชีวิตจากภาวะสมองและหัวใจทำงานหนักเกินไป 54 ราย และได้รับเงินชดเชย ลดลงอย่างมากจาก 160 รายในช่วงเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
แต่จำนวนคนที่ยื่นคำร้องเกี่ยวกับความเครียดทางจิตใจจากการทำงานกลับยังคงเพิ่มขึ้น โดยพุ่งขึ้นเป็น 2,683 ราย จาก 341 รายในช่วงเวลาเดียวกัน
เคสการทำงานจนตายที่โด่งดังในญี่ปุ่น เช่น นักข่าวการเมืองวัย 31 ปีจากสถานี NHK เสียชีวิตในปี 2017 หลังจากมีอาการหัวใจล้มเหลวอันเนื่องมาจากต้องทำงานล่วงเวลาเป็นเวลานาน โดยเธอทำงานล่วงเวลาถึง 159 ชั่วโมง หรือในปี 2022 แพทย์วัย 26 ปีจากโรงพยาบาลในโกเบเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายหลังจากทำงานล่วงเวลามากกว่า 200 ชั่วโมงในเดือนเดียว
คาโตะ ฮิซาคาซึ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเมจิในโตเกียวกล่าวว่า ประเทศญี่ปุ่นมีกฎหมายแรงงานเพื่อปกป้องแรงงานและให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถลาออกได้ “แต่บางครั้งบรรยากาศในสถานที่ทำงานทำให้การพูดเช่นนั้นกลับกลายเป็นเรื่องยาก”
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ที่บริษัทรับจ้างลาออกเริ่มบูมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะวิธีการทำงานที่เปลี่ยนไปของคนหนุ่มสาว
โอโนะ ฮิโรชิ โอโนะ ศาสตราจารย์ด้านทรัพยากรบุคคลจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮิโตสึบาชิ กล่าวว่า ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานซึ่งเกิดจากประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอัตราการเกิดที่ลดลง คนหนุ่มสาวจึงมีสิทธิ์มีเสียงในตลาดมากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ
โอโนะกล่าวว่า หลายคนไม่เห็นด้วยกับความคิดของคนรุ่นเก่าอีกต่อไปว่าควรทำงานทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับคำสั่งโดยไม่คำนึงถึงลักษณะของงาน และเสริมว่าเมื่อมีความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน พวกเขาจะไม่ลังเลที่จะลาออก
แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาต้องการเดินเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายแล้วลาออกอย่างมีเกียรติ แต่เลือกที่จะปล่อยให้บุคคลที่สามจัดการแทน “ผมคิดว่าคนรุ่นใหม่ในสมัยนี้ไม่ค่อยชอบเผชิญหน้ากัน” พร้อมระบุว่า หลายคนขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในการทำงานเนื่องจากโควิด-19 ส่งผลให้คนงานรุ่นใหม่เลือกที่จะลาออกโดยไม่ได้ติดต่อกับเจ้านายโดยตรง
แต่โอโนะแนะนำว่า การพูดคุยกันตรง ๆ และไม่ทำลายความสัมพันธ์กับนายจ้างนั้นเป็นเรื่องที่ดีเสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่แนะนำให้ใช้บริการดังกล่าว
คาวามาตะจากโมมูริเห็นด้วยในระดับหนึ่ง “เราคิดจริง ๆ ว่า บริการเอเจนซีรับจ้างลาออกของเราควรจะหายไปจากสังคม และเราก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น เราคิดว่าจะดีที่สุดถ้าคนสามารถบอกเจ้านายของตนเองได้ แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวเลวร้ายของลูกค้า ฉันไม่คิดว่าธุรกิจของเราจะหายไปในเร็ว ๆ นี้”
เรียบเรียงจาก CNN