การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองที่สุดคือสงครามในยูเครน ซึ่งอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความมั่นใจว่าจะสามารถยุติการสู้รบครั้งนี้ได้ หากได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้ง
แต่ ดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย ยืนยันว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะไม่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องกับรัสเซีย
เมดเวเดฟบอกว่า ทั้งอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครตต่างมีความต้องการเหมือนกันนั่นคือการเอาชนะรัสเซีย
เขายังได้เตือนทรัมป์ว่า หากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและพยายามยุติสงครามในยูเครน ตัวเขาอาจพบชะตากรรมเดียวกับอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี (JFK) ผู้นำสหรัฐฯคนที่ 35 ซึ่งถูกลอบสังหารในปี 1963 พร้อมทั้งย้ำว่าการสู้รบในยูเครนจะไม่สามารถยุติลงได้ในระยะเวลาอันสั้น
ในส่วนของแฮร์ริส เมดเวเดฟวิจารณ์ว่าเธอยังขาดความรู้ความสามารถ รวมถึงประสบการณ์ที่เพียงพอ อีกทั้งยังถูกครอบงำได้ง่ายและหากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง แฮร์ริสจะมีบทบาทเป็นเพียงประธานาธิบดีหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลบางกลุ่มและอดีต ประธานาธิบดี บารัก โอบามา
ขณะที่นายกรัฐมนตรีฮังการี วิกเตอร์ ออร์บัน เชื่อว่า หากทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 จะทำให้สหภาพยุโรป หรืออียู ต้องทบทวนการให้ความช่วยเหลือแก่ยูเครน หากสหรัฐฯ ต้องการยุติสงคราม เนื่องจากประเทศสมาชิกไม่สามารถแบกรับภาระในส่วนนี้เพียงลำพังได้
โดยออร์บันเปิดเผยว่า ผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯจะถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในที่ประชุมผู้นำชาติสมาชิกอียู ซึ่งกรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการีระว่างวันที่ 7-8 พ.ย.นี้ หรือเพียง 2 วัน หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ด้านนายกรัฐมนตรีโปแลนด์ โดนัลด์ ทัสก์ เรียกร้องประเทศยุโรปต้องหันมาพึ่งพาตนเองในด้านความมั่นคง เนื่องจากยุคแห่งการรอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯได้สิ้นสุดลงแล้ว ไม่ว่าทรัมป์ หรือ แฮร์ริส จะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่
โดยเมื่อเดือนที่แล้ว "ซาแวนตา" บริษัทด้านการวิจัยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนในสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เยอมนี เนเธอร์แลนด์ และ โปแลนด์ เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เชื่อว่า การได้ แฮร์ริส เป็นผู้นำสหรัฐฯคนใหม่จะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของยุโรป มากกว่า ทรัมป์