วันที่ 6 พ.ย. เวลา 16.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 อย่างไม่เป็นทางการออกมาแล้วว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ แคนดิเดตจากพรรครีพับลิกัน เป็นฝ่ายชนะ
โดยทรัมป์สสามารถรวบรวมคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) ได้รวมกัน 276 เาียงหรือเกินกึ่งหนึ่งคือ 270 แล้ว และมีแนวโน้มว่าจะสามารถกวาดคะแนนเสียงจากรัฐสวิงสเตทมาได้หมดทั้ง 7 รัฐด้วย
โดยหากทรัมป์ชนะทั้ง 7 รัฐสำคัญได้จริง จะทำให้เขาชนะคณะผู้เลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเหนือ กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครตถึง 312 ต่อ 226 เสียง
ผลฟุตซอลทีมชาติไทย แพ้ เวียดนาม ศึกชิงแชมป์อาเซียน
5 แหล่งวิตามินปราการผิว ช่วยบำรุงลดรอยด่างดำ เหี่ยวย่นช่วยชะลอวัย
นอกจากนี้ คาดว่าทรัมป์จะชนะในแง่ของคะแนนนิยม (Popular Vote) ด้วย โดย ณ เวลา 15.30 น. ตามเวลาประเทศไทย คะแนนโหวตของเขาอยู่ที่มากกว่า 69 ล้านเสียง ส่วนแฮร์ริสได้มาเกือบ 64 ล้านเสียง
นี่จะเป็นครั้งแรกที่พรรครีพับลิกันชนะทั้ง Electoral Vote และ Popular Vote นับตั้งแต่ปี 2004 ส่วนในปี 2000 และ 2016 นั้นพรรครีพับลิกันชนะคณะผู้เลือกตั้งแต่ไม่ได้ชนะคะแนนนิยม
นักวิเคราะห์มองว่า เหตุผลหลักที่ทำให้ทรัมป์ได้รับชัยชนะมาจากความไม่เป็นที่นิยมของ โจ ไบเดน เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ตกต่ำ และการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ไบเดนดำรงตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน การทำแท้งยังไม่ใช่ปัจจัยที่พรรคเดโมแครตคาดหวังจะนำมาเปลี่ยนแปลงคะแนนเสียงได้ ในการเลือกตั้งที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อย เช่น การเลือกตั้งกลางเทอมและการเลือกตั้งซ่อมในปี 2022 พรรคเดโมแครตทำผลงานได้ดีเนื่องมาจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีแรงจูงใจจากการทำแท้ง แต่ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีผู้มาใช้สิทธิจำนวนมากครั้งนี้ การทำแท้งกลับถูกมองข้ามไปได้ง่าย