เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กองกำลังอิสราเอลโจมตีทางอากาศใส่ใจกลางกรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอนอีกครั้ง ส่งผลให้อาคารสูง 8 ชั้นอย่างน้อย 1 แห่ง ในเขตบัสตา กรุงเบรุต ซึ่งมีประชากรหนาแน่นถูกทำลาย เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ เพื่อค้นหาผู้สูญหาย โดยจนถึงขณะนี้พบผู้เสียชีวิตแล้ว 20 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 66 คน แต่คาดว่าจำนวนผู้เคราะห์ร้ายจะเพิ่มขึ้นอีก
สื่อท้องถิ่นเลบานอนระบุว่า อิสราเอลใช้ระเบิดทะลวงหลุมหลบภัย “บังเกอร์ บัสเตอร์” (Bunker Buster) ในการโจมตี ซึ่งเป็นอาวุธชนิดเดียวกับที่ใช้สังหารแกนนำระดับสูงของฮิซบอลเลาะห์หลายราย รวมถึง ฮัสซัน นาสรัลเลาะห์ ผู้นำสูงสุดของกลุ่ม
ขณะที่สื่ออิสราเอลรายงานว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นมีเป้าหมายเพื่อสังหาร โมฮัมเหม็ด เฮย์ดาร์ แกนนำระดับสูงของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ แต่ อามิน เชอร์รี สส.เลบานอน สังกัดพรรคฮิซบอลเลาะห์ อ้างว่า ไม่มีแกนนำของกลุ่มคนใดอยู่ในอาคารที่ถูกโจมตี
ในวันเดียวกัน อิสราเอลยิงโจมตีทางอากาศที่เขตดาฮิเอห์ ทางตอนใต้ของกรุงเบรุต และเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ โดยอ้างว่ามีอาคารหลายแห่งที่เชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ และยังโจมตีภาคใต้และตะวันออกของเลบานอน รวมถึงที่เมืองบาลเบค ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 15 คน
ส่วนความคืบหน้าหลังจากศาลอาญาระหว่างประเทศออกหมายจับ นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โยอาฟ กัลแลนท์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ วิจารณ์ว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ไม่เท่าเทียม และสหรัฐฯ จะสนับสนุนอิสราเอลในด้านความมั่นคงต่อไป
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของหลายประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ ไอร์แลนด์ อิตาลี และสเปน ยืนยัน จะมีการจับกุมเนทันยาฮู หากอีกฝ่ายเดินทางเข้ามาในประเทศ ขณะที่สวีเดน นอร์เวย์ และเบลเยียม ออกแถลงการณ์ยกย่องการออกหมายจับผู้นำอิสราเอลของศาลอาญาระหว่างประเทศ