แหล่งข่าว 5 รายที่ทราบข้อมูลข่าวกรองสหรัฐฯ เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้ยูเครนยิงขีปนาวุธ ATACMS ของสหรัฐฯ เข้าไปในแฟ่นดินรัสเซียไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงที่รัสเซียจะโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ชี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น แม้ว่าประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน จะขู่ด้วยความแข็งกร้าวก็ตาม
อย่างไรก็ดี รัสเซียมีแนวโน้มที่จะขยายการรณรงค์ก่อวินาศกรรมต่อเป้าหมายในยุโรปเพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อฝ่ายตะวันตกที่สนับสนุนยูเครน
การประเมินข่าวกรองชุดหนึ่งในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาสรุปได้ว่า การยกระดับไปใช้อาวุธนิวเคลียร์ไม่น่าจะเป็นผลมาจากการตัดสินใจผ่อนปรนข้อจำกัดในการใช้อาวุธของสหรัฐฯ
แหล่งข่าวกล่าวว่า “การประเมินมีความสอดคล้องกัน ATACMS จะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย” และมองว่า การที่รัสเซียยิงขีปนาวุธพิสัยไกลแบบใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อเป็นการเตือนสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรป ไม่ได้เปลี่ยนข้อสรุปดังกล่าว
โปรโมชัน Commart 2024 "Commart TechXPro" นอกจากส่วนลด ยังมีจุ่ม Art Toy ฟรี!
ปีชง 2568 ปีนี้มีอะไรบ้าง แก้ปีชงต้องทำอย่างไร เช็กที่นี่!
น้ำท่วมภาคใต้ : ยะลาท่วมสูง 2 เมตร สั่งเร่งอพยพประชาชน
หนึ่งในแหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า แม้ประเมินว่ารัสเซียจะไม่พยายามเพิ่มระดับความรุนแรงด้วยกองกำลังนิวเคลียร์ แต่อาจพยายามยกระดับความรุนแรงของสถานการณ์ ซึ่งรวมถึงการใช้ขีปนาวุธใหม่
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า ข่าวกรองนี้ช่วยให้รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจได้เกี่ยวกับการผ่อนปรนข้อจำกัดในการใช้อาวุธของสหรัฐฯ ว่าคุ้มกับความเสี่ยงที่จะทำให้ปูตินโกรธหรือไม่
ในตอนแรก เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ต่อต้านการเคลื่อนไหวดังกล่าว เพราะกังวลเกี่ยวกับการยกระดับความรุนแรงและความไม่แน่นอนว่าปูตินจะตอบสนองอย่างไร
เจ้าหน้าที่บางคน รวมทั้งในทำเนียบขาว เพนตากอน และกระทรวงการต่างประเทศ เกรงว่าจะมีการตอบโต้อย่างรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ทางการทูตของสหรัฐฯ และการโจมตีพันธมิตรนาโต
ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่บางคนเชื่อว่า ความกังวลเกี่ยวกับการยกระดับความรุนแรง รวมถึงความกลัวเรื่องอาวุธนิวเคลียร์นั้นเป็นเรื่องเกินจริง แต่เน้นย้ำว่า สถานการณ์โดยรวมในยูเครนยังคงเป็นอันตราย และการใช้อาวุธนิวเคลียร์ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ ความสามารถของรัสเซียในการหาทางตอบโต้ฝ่ายตะวันตกด้วยวิธีลับ ๆ อื่น ๆ ยังคงเป็นเรื่องที่น่ากังวล
เรียบเรียงจาก Reuters