วันที่ 20 ม.ค. เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ สิ่งแรกที่เขาทำคือการลงนามในคำสั่งผู้บริหารหลายฉบับ ซึ่งจะมีผลยกเลิกนยโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลไบเดน
ทรัมป์ได้นั่งลงที่โต๊ะบนเวทีเพื่อลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับ โดยมีผู้ช่วยคนหนึ่งคอยประกาศว่าทรัมป์กำลังลงนามอะไร จากนั้นประธานาธิบดีก็หยิบเอกสารขึ้นมาและแสดงให้ฝูงชนที่โห่ร้องดู และลงนาม
ผู้ช่วยกล่าวว่า “รายการแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังลงนามคือ การยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหาร 78 ฉบับของไบเดน คำสั่งฝ่ายบริหาร บันทึกของประธานาธิบดี และอื่น ๆ”
หนึ่งในคำสั่งที่ถูกเพิกถอนคือ คำสั่งของไบเดนซึ่งนำคิวบาออกจากรายชื่อรัฐที่สนับสนุนการก่อการร้าย มาตรการคว่ำบาตรต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ และมาตรการลดความเสี่ยงจากปัญญาประดิษฐ์
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังยกเลิกคณะทำงานระหว่างหน่วยงานที่อดีตประธานาธิบดีไบเดนจัดตั้งขึ้นเพื่อให้ครอบครัวที่พลัดพรากจากกันที่ชายแดนในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์ได้กลับมาพันกันอีกครั้ง โดยในปี 2021 ไบเดนลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อจัดตั้งคณะทำงานระหว่างหน่วยงานเพื่อช่วยครอบครัวผู้อพยพที่ต้องพลัดพรากจากกัน ณ วันที่ 20 มีนาคม 2024 คณะทำงานดังกล่าวได้ทำให้เด็ก 795 คนได้เจอกับพ่อแม่ของพวกเขาในสหรัฐฯ อีกครั้ง
ทรัมป์ยังได้ยกเลิกการดำเนินการด้านการย้ายถิ่นฐานในยุคของไบเดน ซึ่งเรียกร้องให้มีการทบทวนลำดับความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายการย้ายถิ่นฐาน และสร้างกรอบการทำงานเพื่อแก้ไขสาเหตุหลักของการย้ายถิ่นฐาน
“ประธานาธิบดีลงนามระงับกฎระเบียบ ป้องกันไม่ให้ข้าราชการออกกฎระเบียบใด ๆ เพิ่มเติม จนกว่าเราจะควบคุมรัฐบาลนี้นี้ได้อย่างเต็มที่”
“ประธานาธิบดีลงนามระงับการจ้างงานของรัฐบาลกลางทั้งหมด ยกเว้นกองทัพ และหมวดหมู่อื่น ๆ ที่ถูกยกเว้นอีกครั้ง จนกว่าจะควบคุมรัฐบาลได้อย่างเต็มที่และเราเข้าใจวัตถุประสงค์ของรัฐบาลในอนาคต”
“ประธานาธิบดีลงนามในข้อกำหนดให้พนักงานของรัฐบาลกลางต้องกลับไปทำงานเต็มเวลาในอออฟฟิศทันที”
“ประธานาธิบดีลงนามคำสั่งถึงทุกแผนกและหน่วยงานในรัฐบาลกลางเพื่อแก้ไขวิกฤตค่าครองชีพที่ทำให้ชาวอเมริกันต้องสูญเสียอย่างหนัก”
“ประธานาธิบดีลงนามถอนตัวจากสนธิสัญญาปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” พร้อมกันนั้นทรัมป์ยังโชว์จดหมายแจ้งการตัดสินใจดังกล่าวต่อองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)
ทรัมป์ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีส เช่นเดียวกับที่เขาทำเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก โดยข้อตกลงปารีสคือข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และประเทศต่าง ๆ เกือบ 200 ประเทศได้ให้คำมั่นที่จะควบคุมให้อุณหภูมิโลกร้อนให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และเหมาะสมที่สุดคือต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส แต่ละประเทศมีหน้าที่ในการพัฒนาแผนของตนเองเพื่อรักษาคำมั่นสัญญานี้
“ประธานาธิบดีลงนามคำสั่งถึงรัฐบาลกลางให้ฟื้นฟูเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดต่อไป”
“ประธานาธิบดีลงนามคำสั่งถึงรัฐบาลกลางให้ยุติการนำรัฐบาลมาใช้เป็นอาวุธเพื่อต่อต้านฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของรัฐบาลชุดก่อน ดังที่เราได้เห็นกันไปแล้ว”
หลังลงนามในคำสั่งเหล่านี้ ทรัมป์ได้ชูกเอกสารขึ้น แล้วกล่าวว่า “คุณนึกภาพไบเดนทำแบบนี้ออกไหม ผมไม่คิดอย่างนั้น”
ต่อมา ทรัมป์ได้เดินทางไปทำเนียบขาว และเข้าไปในห้องทำงานรูปไข่ เพื่อลงนามในคำสั่งอื่น ๆ ต่อ โดยคำสั่งแรกที่เขาลงนามคือ การประกาศอภัยโทษผู้ก่อจลาจลที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 โดยระบุว่าการอภัยโทษครั้งนี้จะครอบคลุมผู้ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหา 1,500 คน ซึ่งดูเหมือนว่าจะครอบคลุมเกือบทุกคนที่ถูกตั้งข้อกล่าวหา
การลงนามดังกล่าวยังมีผลให้ยุติคดีความเกือบ 1,600 คดีที่เกิดจากการจลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ โดยสั่งให้กระทรวงยุติธรรมยกเลิกคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาประมาณ 300 คดี และสั่งให้ปล่อยตัวจำเลยอีก 14 คนที่ถูกตั้งข้อหาในคดีกบฏ
ทรัมป์ยังลดโทษให้กับกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัด 14 คนจากกลุ่ม Oath Keepers และ Proud Boys ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดหรือถูกตั้งข้อหาสมคบคิดก่อกบฏ การลดโทษจะปูทางให้พวกเขาได้รับการปล่อยตัวจากคุกในเร็ว ๆ นี้
หลังจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ยังลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารด้านการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งจะนำไปสู่การปราบปรามผู้อพยพผิดกฎหมาย จะมีผลกำหนดให้กลุ่มค้ายาเป็นองค์กรก่อการร้ายต่างชาติ ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่อาจนำไปสู่การใช้กำลังทหารบนแผ่นดินเม็กซิโก “เม็กซิโกอาจไม่ต้องการเช่นนั้น แต่เราต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
ทรัมป์ยังลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อพยายามยุติสิทธิพลเมืองโดยกำเนิด ทำให้ผู้อพยพที่เกิดในสหรัฐฯ จะไม่ได้รับสถานะการเป็นพลเมือง
ทรัมป์ยังลงนามในคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติที่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการส่งกำลังทหารและทรัพยากรของกระทรวงกลาโหมเพิ่มเติมเพื่อสร้างกำแพงชายแดนให้เสร็จ รวมถึงความพยายามอื่น ๆ ด้วย โดยคำสั่งดังกล่าวเน้นเฉพาะด้านความปลอดภัยของชายแดนทางใต้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขายืนกรานว่าเขา “โอเคกับการย้ายถิ่นฐานที่ถูกกฎหมาย”
นอกจากนี้ ตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัญญาไว้ เขาได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อเลื่อนการแบนแพลตฟอร์ม TikTok ออกไปเป็นเวลา 75 วัน
คำสั่งดังกล่าวสั่งให้กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ไม่บังคับใช้กฎหมายควบคุมการใช้งาน TikTok ซึ่งได้รับการผ่านโดยการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคการเมืองอย่างกว้างขวางในรัฐสภา และลงนามในเดือน เม.ย. 2024 โดยอดีตประธานาธิบดีไบเดน กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. เป็นต้นไป TikTok จะต้องถูกแบนในสหรัฐอเมริกา เว้นแต่จะขายให้กับผู้ซื้อจากอเมริกาหรือพันธมิตร
แต่ชะตากรรมขั้นสุดท้ายของ TikTok ในอเมริกายังคงเป็นที่สงสัย ยังไม่ชัดเจนว่า ByteDance เจ้าของ TikTok ที่มีฐานอยู่ในจีน ต้องการขายให้กับผู้ซื้อในสหรัฐฯ หรือไม่ แม้ว่าจะเป็นข้อตกลงที่ทรัมป์เป็นคนกลางก็ตาม
ทรัมป์บอกกับนักข่าวในห้องทำงานรูปไข่ว่า เขาเปลี่ยนใจเกี่ยวกับ TikTok เพราะเขา “ได้ใช้มัน”
เขาบอกว่า “และอย่าลืมว่า TikTok เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็ก ๆ และเด็กเล็กเป็นส่วนใหญ่ หากจีนต้องการจะดึงข้อมูลเกี่ยวกับเด็กเล็กออกมาจาก TikTok พูดตรง ๆ ผมคิดว่าเรามีปัญหาใหญ่กว่านั้น”
เขายังบอกกับนักข่าวด้วยว่าการกระทำที่เขาลงนามใน TikTok ทำให้เขามีสิทธิ์ที่จะ “ขายหรือปิดมัน” โดยระบุว่า “ผมมีสิทธิ์ที่จะขายหรือปิดมัน และเราจะตัดสินใจเรื่องนี้” ทรัมป์กล่าวเสริม
ต่อมา ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อเริ่มกระบวนการถอนสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO)
“โอ้ นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะ” ทรัมป์กล่าวขณะลงนาม และกล่าวว่า สหรัฐฯ จ่ายเงินไปอย่างไม่ยุติธรรมเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เขากล่าวว่า “พวกเขาต้องการเรากลับคืนมามาก ดังนั้นเราคงต้องรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
เรียบเรียงจาก CNN