ประธานาธิบดีสกรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดทำแผนเปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร 3 เหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ได้แก่ การสังหาร จอห์น เอฟ. เคนเนดี, โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
“หลายคนรอคอยเรื่องนี้มานานหลายปีและหลายทศวรรษ และทุกอย่างจะถูกเปิดเผย” ทรัมป์กล่าวเมื่อวันที่ 23 ม.ค.
คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลต้องนำเสนอแผนเปิดเผยเอกสารเหล่านี้ภายใน 15 วัน
ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ถูกสังหารที่ดัลลาสในปี 1963 ส่วน โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี พี่ชายของเขา ถูกลอบสังหารระหว่างลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีในแคลิฟอร์เนียในปี 1968 เพียง 2 เดือนหลังจากคิง ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกา ถูกลอบสังหารที่เมมฟิส รัฐเทนเนสซี
เอกสารจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนได้รับการเปิดเผยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เอกสารอีกหลายพันฉบับยังคงถูกปกปิดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีของเจเอฟเคซึ่งมีรายละเอียดซับซ้อน
ตามที่รับรู้กัน ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ถูกยิงโดยลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ อดีตทหารนาวิกโยธินที่แปรพักตร์ไปเป็นสหภาพโซเวียตและเดินทางกลับสหรัฐฯ ในเวลาต่อมา โดยคณะกรรมาธิการของรัฐบาลได้ตัดสินว่าออสวอลด์ลงมือเพียงลำพัง
อย่างไรก็ตาม คำถามที่ไม่มีคำตอบยังคงวนเวียนอยู่ในคดีนี้มาอย่างยาวนาน และทำให้เกิดทฤษฎีอื่น ๆ เกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องของเจ้าหน้าที่รัฐบาลเอง มาเฟีย และบุคคลชั่วร้ายอื่น ๆ รวมถึงทฤษฎีสมคบคิดที่แปลกประหลาดกว่านั้น
ผลสำรวจความคิดเห็นตลอดหลายทศวรรษระบุว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าออสวอลด์เป็นมือสังหารเพียงคนเดียว
ในปี 1992 รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายเปิดเผยเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนภายใน 25 ปี ทั้งทรัมป์ในวาระแรกและประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้เปิดเผยเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเจเอฟเคจำนวนมาก แต่เอกสารหลายพันฉบับจากทั้งหมดหลายล้านฉบับยังคงเป็นความลับบางส่วนหรือทั้งหมด
ทรัมป์สัญญาว่า จะเปิดเผยเอกสารทั้งหมดในวาระแรกของเขา แต่กลับไม่ทำตามสัญญาหลังจากที่เจ้าหน้าที่ CIA และ FBI โน้มน้าวให้เขาเก็บเอกสารบางส่วนเป็นความลับ
แต่คำสั่งฝ่ายบริหารที่ทรัมป์ลงนามหลังการรับตำแหน่งสมัยที่ 2 ระบุว่า “การรักษาความลับอย่างต่อเนื่องไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์สาธารณะ”
เอกสารที่เผยแพร่ล่าสุดได้เปิดเผยรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับสถานการณ์โดยรอบการลอบสังหารนี้ รวมถึงการติดตามออสวอลด์อย่างใกล้ชิดของซีไอเอ
ในปี 2023 พอล แลนดิส อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองวัย 88 ปี ซึ่งเป็นพยานเห็นเหตุการณ์ลอบสังหารในระยะใกล้ กล่าวว่า เขาถูกยิงจากรถหลังจากเคนเนดีถูกยิง
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า รายละเอียดดังกล่าวทำให้เรื่องราวที่ว่า กระสุนนัดเดียวถูกทั้งประธานาธิบดีและผู้ว่าการรัฐเท็กซัส จอห์น คอนนัลลี ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนขบวนรถและรอดชีวิตจากการยิง มีความซับซ้อนมากขึ้น
ข้อมูลใหม่ทำให้เกิดข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับทฤษฎีที่ว่าออสวอลด์ลงมือเพียงลำพัง และคาดการณ์ว่า การเปิดเผยเอกสารที่แก้ไขทั้งหมดอย่างครบถ้วนอาจเพิ่มพูนความรู้ให้กับสาธารณชนได้อย่างมาก
เช่นเดียวกัน ในคดีของอาร์เอฟเคก็มีคนไม่เชื่อว่า เซอร์ฮาน ชายชาวปาเลสไตน์ที่ไม่พอใจที่สหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอล เป็นผู้ก่อเหตุเพียงคนเดียว ส่วนคดี มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่ถูกเจมส์ เอิร์ล เรย์ นักชาตินิยมผิวขาวยิงเสียชีวิต สมาชิกในครอบครัวคิงกล่าวหาว่า เรย์ไม่ได้ลงมือคนเดียวและเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสมคบคิดที่ใหญ่กว่านั้น
เรียบเรียงจาก BBC