ผู้พิพากษา จอห์น คูห์เนอร์ แห่งศาลรัฐบาลกลาง เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ของสหรัฐฯ ได้ตัดสินระงับชั่วคราวคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จำกัดการเป็นพลเมืองโดยกำเนิด ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญในการให้สิทธิการเป็นพลเมืองโดยอัตโนมัติแก่ผู้ใดก็ตามที่เกิดในประเทศ
โดยคำสั่งของผู้พิพากษาคูห์เนอร์ได้ห้ามรัฐบาลบังคับใช้มาตรการนี้ เพราะเป็นการละเมิดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ
คำสั่งระงับชั่วคราวของผู้พิพากษาคูห์เนอร์เป็นไปตามคำร้องที่ยื่นโดยอัยการสูงสุดจาก 4 รัฐฐานเสียงพรรคเดโมแครต ประกอบไปด้วย แอริโซนา อิลลินอยส์ โอเรกอน และวอชิงตัน นับเป็นคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ถูกยื่นให้ศาลพิจารณาระงับการบังคับใช้
ตามข้อมูลในเอกสารคดีความ 4 รัฐที่ยื่นฟ้องต่อศาลเมืองซีแอตเทิลระบุว่า คำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งลงนามในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งนั้นมีกำหนดจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ อาจส่งผลกระทบต่อผู้คนที่เกิดในประเทศหลายแสนคน
โดยในปี 2022 มีเด็กที่เกิดในสหรัฐฯจากแม่ที่อาศัยอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมายประมาณ 255,000 คน และมีเด็กที่เกิดจากทั้งพ่อและแม่ที่อาศัยอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมายประมาณ 153,000 ราย
คำสั่งของทรัมป์สร้างความกังวลให้แก่องค์กรกลุ่มสิทธิมนุษยชน ที่ต่างมองว่าเป็นการทำลายแนวคิดเรื่องสัญชาติอเมริกันอย่างรุนแรง และไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อลูกๆของพ่อแม่ที่ไม่มีเอกสารรับรองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลูกๆ ของผู้อพยพที่อยู่ในประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย
จนถึงตอนนี้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีถึง 5 คดีต่อการจำกัดสิทธิพลเมืองโดยกำเนิดของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งผู้ยื่นฟ้องคือเจ้าหน้าที่จาก 22 รัฐและกลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่ม รวมถึงสหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน
ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ให้ความคิดเห็นสั้น ๆ หลังทราบผลคำพิพากษาว่า จะยื่นอุทธรณ์อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับกระทรวงยุติธรรมที่ย้ำว่าจะพยายามทำให้คำสั่งฉบับนี้มีผลบังคับใช้ให้ได้
สำหรับสหรัฐฯ ได้ให้สัญชาติโดยกำเนิดในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 14 มีผลบังคับใช้หลังสงครามกลางเมืองเพื่อขยายสิทธิการเป็นพลเมืองให้กับคนผิวสีที่เคยเป็นทาสมาก่อน