เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 10% ถือเป็นการลงนามในนโยบายเศรษฐกิจที่ทรัมป์เคยให้สัญญาไว้ว่าจะลงมือทำ
ฝ่ายบริหารของทรัมป์กล่าวว่า ภาษีนำเข้าสินค้าเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมการไหลเข้าของยาเฟนทานิลและผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารเข้าสู่สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้อาจทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องเสียเงินซื้อสินค้าทั่วไปหลากหลายประเภทในราคาที่สูงขึ้น
นโยบายใหม่นี้ถือเป็นการพลิกกลับนโยบายการค้าเสรีระหว่าง 3 ประเทศในอเมริกาเหนือที่ดำเนินมาหลายปี และยังเป็นการขยายสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐญ ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วง 2 รัฐบาลที่ผ่านมา
คาดว่าภาษีศุลกากรใหม่นี้จะทำให้เกิดการตอบโต้จากทั้งสามประเทศ ซึ่งอาจจุดชนวนให้เกิดสงครามการค้าที่อาจสร้างความเสียหายอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศเป้าหมายและสหรัฐฯ
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งนั้น ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยังได้ออกข้อกำหนดที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีสามารถขยายภาษีศุลกากรได้หากประเทศใดประเทศหนึ่งกำหนดภาษีศุลกากรใหม่ต่อสหรัฐฯ
ที่น่าสังเกตคือ ภาษีศุลกากรดังกล่าวมีการยกเว้นที่สำคัญ นั่นคือ ภาษีศุลกากรสำหรับผลิตภัณฑ์พลังงานของแคนาดาจะอยู่ที่ 10% เนื่องจากชาวอเมริกันจำนวนมากพึ่งพาผลิตภัณฑ์พลังงานของแคนาดา เช่น น้ำมัน ไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ สำหรับเชื้อเพลิงและเครื่องทำความร้อนในบ้าน
ทรัมป์ยังได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระดับประเทศในคำสั่งฝ่ายบริหาร โดยใช้พระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า “IEEPA” ซึ่งให้ประธานาธิบดีมีอำนาจฝ่ายเดียวในการจัดการสินค้าที่นำเข้าในช่วงภาวะฉุกเฉินระดับชาติ ภาษีศุลกากรดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในเช้าวันที่ 4 ก.พ. เวลา 00.01 น. ตามเวลาเขตตะวันออก (12.01 น. ตามเวลาประเทศไทย)
หลังการประกาศขึ้นภาษี ทรัมป์โพสต์ใน Truth Social ว่า “วันนี้ ผมได้กำหนดอัตราภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา (10% สำหรับพลังงานของแคนาดา) และอัตราภาษีศุลกากรเพิ่มเติม 10% สำหรับสินค้าจากจีน”
เขาเสริมว่า “การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นผ่านพระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) เนื่องจากภัยคุกคามร้ายแรงจากคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายและยาเสพติดร้ายแรงที่คร่าชีวิตพลเมืองของเรา รวมถึงเฟนทานิลด้วย เราจำเป็นต้องปกป้องชาวอเมริกัน และเป็นหน้าที่ของผมในฐานะประธานาธิบดีที่จะต้องดูแลความปลอดภัยของทุกคน”
การขึ้นภาษีศุลกากรล่าสุดนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้าโลกที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การตอบโต้จากเม็กซิโก แคนาดา และจีนในรูปแบบของการขึ้นภาษีสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ต้นทุนที่สูงขึ้นมาก ห่วงโซ่อุปทานที่หยุดชะงัก และการสูญเสียตำแหน่งงาน
ทรัมป์เองก็ยอมรับว่าอาจเกิดผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภคชาวอเมริกัน “อาจมีการหยุดชะงักชั่วคราวในระยะสั้น และผู้คนจะเข้าใจเรื่องนี้ แต่ภาษีศุลกากรจะทำให้เราร่ำรวยและแข็งแกร่งมาก และเราจะปฏิบัติต่อประเทศอื่นๆ อย่างยุติธรรม”
จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีของแคนาดา กล่าวก่อนหน้านี้ว่า หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีศุลกากร แคนาดาจะตอบโต้อย่างรุนแรงและรวดเร็ว ตัวแทนการค้าของประเทศได้พบปะกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลของทรัมป์เมื่อไม่นานนี้ในวันที่ 31 ม.ค. เพื่อพยายามเจรจาลดภาษีนำเข้า
เรียบเรียงจาก CNN