ทางการกรีซรายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. จนถึง 2 ก.พ. ที่ผ่านมา เกิดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวขนาดเล็กรวมกันมากกว่า 200 ครั้งบริเวณใมหล้กับเกาะซานโตรินี ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง
คอสทัส ปาปาซากอส ศาสตราจารย์ด้านธรณีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยอริสโตเติล กล่าวว่า แผ่นดินไหวหลายครั้งวัดได้ 4 ถึง 4.5 แมกนิจูดโดยแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดวัดได้ 4.6 แมกนิจูด เกิดขึ้นในบริเวณน่านน้ำระหว่างเกาะซานโตรินีและเกาะอามอร์กอส
“ไม่มีอะไรที่ตัดออกไปได้ และนั่นคือเหตุผลที่มาตรการป้องกันถูกนำมาใช้โดยเฉพาะเพื่อจำกัดผลกระทบของแผ่นดินไหวที่รุนแรง” ปาปาซากอสบอก
การสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นทำให้ทางการสั่งปิดโรงเรียนบนเกาะซานโตรินีในวันที่ 3 ก.พ. และแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการรวมตัวในที่ร่มเป็นจำนวนมาก และหลีกเลี่ยงท่าเรือหลายแห่ง รวมถึงท่าเรือเก่าของเมืองฟิรา
ทางการกล่าวว่า โรงเรียนบนเกาะอานาฟี อิออส และอามอร์กอส ในทะเลอีเจียนที่อยู่ใกล้เคียง จะถูกปิดทำการเช่นกัน
เกาะซานโตรินีเคยมีประวัติเกิดแผ่นดินไหว เนื่องจากตั้งอยู่บนรอยเลื่อนหลายแห่ง อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวไม่สามารถหยุดยั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนเกาะแห่งนี้ปีละกว่า 3.4 ล้านคนได้
ซานโตรินียังได้รับการขนานนามว่าเป็น “เกาะอินสตาแกรม” ของกรีซ เนื่องมาจากแสงที่เหมาะต่อการถ่ายรูปและทัศนียภาพอันสวยงาม
ซานโตรินีเป็นส่วนหนึ่งของแนวภูเขาไฟเฮลเลนิก ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นมากที่สุดในยุโรป โดยเกิดการปะทุมากกว่า 100 ครั้งในช่วง 400,000 ปีที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ระบุว่ากิจกรรมแผ่นดินไหวในปัจจุบันเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกซึ่งดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของภูเขาไฟ
ทางการกรีซยังได้ส่งกองกำลังพิเศษ ทีมกู้ภัย เต็นท์ และโดรน ไปเตรียมพร้อมที่เกาะซานโตรินี จากความหวาดกลัวว่าจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งอาจทำให้เกิดคลื่นสึนามิ
ด้าน เกราซิมอส ปาปาโดปูลอส นักธรณีวิทยา กล่าวว่า “ทุกอย่างเป็นไปได้” แต่ชี้ว่ากิจกรรมแผ่นดินไหว 200 ครั้งที่เกิดขึ้นนี้ “เกิดในทะเลที่อยู่ห่างจากเกาะอย่างมาก” ซึ่งถือเป็นโชคดี
เรียบเรียงจาก CNN / The Guardian