เจ้าหน้าที่องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ "ยูเอสเอด" (USAID) ได้รับแจ้งเตือนทางอีเมลว่า ให้ทำงานจากนอกสถานที่ และไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงานใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยจะมีการแจ้งเตือนเพิ่มเติมอีกในอนาคตอันใกล้
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า บุคลากรกว่า 600 คนไม่สามารถเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรได้ตั้งแต่ช่วงข้ามคืน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นผลต่อเนื่องจากเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายรักษาความปลอดภัยของ USAID สองคนในช่วงสุดสัปดาห์ หลังจากพยายามสกัดกั้นไม่ให้คณะผู้แทนกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลเข้าถึงพื้นที่หวงห้าม
โดยรัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามจะยกเลิกความเป็นอิสระของหน่วยงานดังกล่าว และอาจโอนย้ายไปอยู่ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศ
ขณะที่ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดีทรัมป์ให้ดูแลเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพรัฐบาล แจ้งความคืบหน้าล่าสุดว่า กำลังหาทางปิด USAID เนื่องจากเป็นองค์กรที่มีปัญหาเกินเยียวยา พร้อมทั้งยืนยันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เห็นด้วยว่าควรปิดหน่วยงานนี้
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งระงับการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศเกือบทั้งหมดของสหรัฐฯ โดยกล่าวว่ารัฐบาลของตนจะทบทวนการใช้จ่ายเพื่อให้แน่ใจว่าเงินจะถูกจัดสรรให้กับกิจการต่างประเทศที่สอดคล้องกับนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน”
โครงการที่ถูกระบุว่าตกอยู่ในความเสี่ยงถูกยกเลิก อาทิ โรงพยาบาลสนามในค่ายผู้ลี้ภัยในไทย การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในเขตสงคราม และยารักษาโรค อาทิ เอชไอวี สำหรับผู้ติดเชื้อหลายล้านคน
ด้านสมาชิกรัฐสภาพรรคเดโมแครตระบุว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจขัดต่อกฎหมายจัดตั้ง USAID และให้เงินทุนสนับสนุนในฐานะหน่วยงานแยกต่างหาก โดยผู้ช่วยอาวุโสของวุฒิสภาพรรคเดโมแครต 2 คนกล่าวว่า จะมีการหารือกันเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย
สำหรับ USAID เป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดในโลก ในปีงบประมาณ 2023 สหรัฐฯ ได้จ่ายเงินช่วยเหลือประเทศต่างๆ ทั่วโลกในทุกเรื่องถึง 72,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.5 ล้านล้านบาท ตั้งแต่เรื่องสุขภาพสตรีในเขตพื้นที่ขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงด้านพลังงาน และงานปราบปรามการทุจริต