นักวิทยาศาสตร์จากนาซา (NASA) และสำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) เปิดเผยว่า พื้นดินแนวชายฝั่งบางส่วนของรัฐแคลิฟอร์เนีย บริเวณลอสแอนเจลิสและซานฟรานซิสโก “กำลังจมลง” ซึ่งหมายความว่าระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้นมากกว่า 2 เท่าของที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
พวกเขาได้ข้อสรุปดังกล่าวหลังจากใช้เรดาร์ดาวเทียมเพื่อศึกษาระดับความสูงของพื้นดินตามแนวชายฝั่งของรัฐแคลิฟอร์เนีย
โดยในจุดที่มีระดับน้ำทะเลสูง เช่น ซานราฟาเอลและฟอสเตอร์ซิตีในเขตอ่าวซานฟรานซิสโก พื้นดินจะจมลงมากกว่า 10 มิลลิเมตรต่อปี การจมลงดังกล่าวหมายความว่าระดับน้ำทะเลในพื้นที่อาจสูงขึ้นมากกว่า 45 เซนติเมตรในอีก 25 ปีข้างหน้า ซึ่งมากกว่าการประมาณการก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 19 เซนติเมตร หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า
ส่วนพื้นที่ที่ถูกถมทะเลขึ้นมาใหม่ เช่น นิวพอร์ตบีช ใกล้เมืองลอสแอนเจลิส กำลังจมลงด้วยอัตราที่น่าจะเพิ่มขึ้นถึง 15 เซนติเมตร
มาริน โกวอร์ซิน นักวิทยาศาสตร์ด้านการสำรวจระยะไกลจากห้องปฏิบัติการขับเคลื่อนไอพ่นของนาซา หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวในแถลงการณ์ว่า “ในหลายพื้นที่ของโลก เช่น พื้นที่ที่ถูกถมทะเลขึ้นมาใหม่ใต้เมืองซานฟรานซิสโก แผ่นดินกำลังเคลื่อนตัวลงเร็วกว่าที่ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นเสียอีก”
การที่แผ่นดินสูงขึ้นและทรุดตัวลง ซึ่งนักวิจัยเรียกว่า “การเคลื่อนตัวในแนวดิ่งของแผ่นดิน” เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ เช่น การเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก และปัจจัยจากมนุษย์ เช่น การสูบน้ำใต้ดิน
ระดับน้ำทะเลทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความร้อนที่เพิ่มขึ้นจากโลกที่ร้อนขึ้นทำให้ธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งละลาย และทำให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรขยายตัว ส่งผลให้แนวชายฝั่งเคลื่อนตัวเข้าไปด้านในมากขึ้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเหล่านี้คุกคามเมืองต่างๆ และชุมชนชายฝั่งทั่วโลก
ทีมวิจัยต้องการทำความเข้าใจว่า การเคลื่อนที่ของพื้นดินในแนวตั้งส่งผลต่อกระบวนการนี้อย่างไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ พวกเขาจึงศึกษาข้อมูลเรดาร์ที่รวบรวมจากดาวเทียม Sentinel-1 ของสำนักงานอวกาศยุโรป และข้อมูลการเคลื่อนที่ของพื้นดินที่นำมาจากระบบดาวเทียมนำทางทั่วโลก
การจมลงของพื้นดินเกิดขึ้นรุนแรงที่สุดในแคลิฟอร์เนียตอนกลาง โดยการสูบน้ำใต้ดินอย่างรุนแรงทำให้พื้นที่บางส่วนของหุบเขาตอนกลางจมลงถึง 20 เซนติเมตรต่อปี
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกที่ที่จมลง พื้นดินซานตาบาร์บารากำลังสูงขึ้นเนื่องจากน้ำใต้ดินในบริเวณนั้นได้รับการเติมเต็มตั้งแต่ปี 2018 โดยเมืองนี้จัดการแหล่งน้ำใต้ดินโดยใช้น้ำผิวดินเป็นหลักในช่วงปีที่มีฝนตก ทำให้ปริมาณน้ำใต้ดินค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น
นอกจากนี้ พื้นที่บางส่วนของลองบีชใกล้กับลอสแอนเจลิสยังสูงขึ้นเนื่องจากมีการฉีดของเหลวเข้าไปในเปลือกโลกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสกัดน้ำมัน
การเคลื่อนตัวของพื้นดินในแนวตั้งอาจคาดเดาได้ยาก แต่การศึกษานี้เน้นย้ำว่าการเคลื่อนตัวของพื้นดินในแนวตั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องรวมไว้ในการคาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นกว่าพื้นดินมากเพียงใดในทศวรรษหน้า
อ่านงานวิจัยฉบับเต็ม ที่นี่
เรียบเรียงจาก Live Science