ระหว่างการพบกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่า การผลักดันข้อตกลงสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซียมีความคืบหน้าเป็นอย่างดี แต่จำเป็นต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะมีการพูดคุยในประเด็นกองกำลังรักษาสันติภาพ
ทรัมป์ยังระบุว่า การพูดคุยของรัฐบาลสหรัฐฯ กับทั้งยูเครนและรัสเซียยังคงเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่นว่า หากข้อตกลงสันติภาพเกิดขึ้นจริง ทุกฝ่ายจะปฏิบัติตามเงื่อนไข และรัสเซียจะไม่รุกรานยูเครนอีก
ส่วนการเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ที่ทรัมป์บอกว่าจะมีขึ้นในวันที่ 28 ก.พ. ทรัมป์ย้ำว่าจะมีการลงนามในช้อตกลงที่จะทำให้สหรัฐฯ เป็นหุ้นส่วนหลักของการพัฒนาแหล่งทรัพยากรมธรรมชาติต่าง ๆ ทั้งแร่ธาตุหายาก น้ำมัน และก๊าซ
ทรัมป์ย้ำว่า ข้อตกลงนี้จะเป็นการรากฐานสำคัญต่อความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในอนาคตระหว่างสหรัฐฯและยูเครน
ขณะที่นายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์เรียกร้องประธานาธิบดีทรัมป์หลีกเลี่ยงการทำข้อตกลงที่เป็นเหมือนการให้รางวัลกับรัสเซียและชาติพันธมิตร พร้อมทั้งยืนยันว่า อังกฤษพร้อมส่งกำลังทหารเข้าไปทำหน้าที่ในยูเครน หากมีข้อตกลงสันติภาพเกิดเขึ้น
ในเวลาเดียวกัน เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในกฎหมายกฤษฎีกาขยายเวลามาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่บังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค. 2014 ภายใต้ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ในเวลานั้น เพื่อตอบโต้รัสเซียที่บุกยึดและผนวกภูมิภาคไครเมียจากยูเครนโดยกฎหมายฉบับนี้ยังขยายเวลามาตรการคว่ำบาตรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบังคับใช้มาตั้งแต่ยุคประธานาธิบดีโอบามาเช่นกัน
ประธานาธิบดีทรัมป์ให้เหตุผลว่า การกระทำและนโยบายของรัสเซียที่ถูกกล่าวถึงในคำสั่งฝ่ายบริหารเหล่านี้ยังคงสร้างภัยคุกคามร้ายแรงต่อความั่นคงและนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ
สำหรับการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามรื้อฟื้นสัมพันธ์ที่ดีกับรัสเซีย โดยเมื่อวันที่ 18 ก.พ. ผู้นำสหรัฐฯ ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน เพื่อยุติสงครามในยุเครน และความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเปิดสถานทูตในเมืองหลสงของทั้งสองประเทศอีกครั้ง
ขณะที่เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า การคว่ำบาตรรัสเซียอาจต้องถูกยกเลิกไปในอนาคต แต่ยืนยันว่าการบังคับใช้มาตรการเหล่านี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีข้อตกลงสันติภาพเกิดขึ้นในยูเครน
อีกความเคลื่อนไหวสำคัญของผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 ก.พ. คือการยืนยันคำสั่งตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค. นี้
โดยคำสั่งตั้งกำแพงภาษีสินค้าเม็กซิโกกับแคนาดาของประธานาธิบดีทรัมป์ถูกเลื่อนมา 1 เดือน จากเดิมที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 ก.พ. หลังผู้นำของทั้ง 2 ประเทศบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายสหรัฐฯ ว่าจะเพิ่มการควบคุมชายแดน เพื่อแก้ปัญหาผู้อพยพและยาเสพติด ที่หลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ ใช้เป็นข้ออ้างในการตั้งกำแพงภาษี
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า ยาผิดกฎหมายยังคงหลั่งไหลเข้าสู่สหรัฐฯ จากทางเม็กซิโกและแคนาดาในระดับที่สูงมากและไม่สามารถยอมรับได้ ซึ่งสหรัฐฯ ไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป
ผู้นำสหรัฐฯ ยังประกาศด้วยว่า จะเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ในวันที่ 4 มี.ค. เช่นกัน หลังเริ่มเก็บไปแล้ว 10% ตั้งแต่ 3 ก.พ.