เมื่อวันที่ 16 มี.ค. สำนักวาติกันเผยแพร่ภาพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส โดยเป็นภาพแรกนับตั้งแต่พระองค์ทรงเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากโรคปอดบวมเมื่อเดือนที่แล้ว
ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นพระสันตะปาปาทรงประทับนั่งบนรถเข็นอยู่หน้าแท่นบูชาในโบสถ์แห่งหนึ่งในโรงพยาบาลเจเมลลี (Gemelli) ในกรุงโรม
ในวันเดียวกัน สมเด็จพระสันตะปาปาตรัสว่า พระองค์กำลังเผชิญกับ “ช่วงเวลาแห่งการทดสอบ” โดยทรงขอบคุณผู้หวังดีที่ร่วมอธิษฐานภาวนา และสวดภาวนาเพื่อสันติภาพใน “ประเทศที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม”
โป๊ปฟรานซิสตรัสว่า “ข้าพเจ้าขอร่วมภาวนากับพี่น้องอีกหลายคนที่กำลังเจ็บป่วย อ่อนแอในเวลานี้ เช่นเดียวกับข้าพเจ้า ขอให้เราสวดภาวนาเพื่อสันติภาพต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม ได้แก่ ยูเครน ปาเลสไตน์ อิสราเอล เลบานอน เมียนมาร์ ซูดาน และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก”
นับเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันแล้วที่สมเด็จพระสันตะปาปาไม่ได้เสด็จมาทรงร่วมให้พรประจำสัปดาห์ด้วยพระองค์เอง วาติกันกล่าวเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า ผลเอ็กซเรย์ยืนยันว่า อาการของพระองค์ “ดีขึ้น” แต่พระองค์ยังต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
แถลงการณ์เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ระบุว่า “สมเด็จพระสันตะปาปายังทรงต้องการการบำบัดทางการแพทย์ในโรงพยาบาล การกายภาพบำบัดระบบกล้ามเนื้อและทางเดินหายใจ ... อาการของพระองค์ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป”
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส วัย 88 ปี ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนเลยตั้งแต่พระองค์เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา
ตั้งแต่พระองค์เสด็จมาถึงโรงพยาบาลเจเมลลีในกรุงโรม สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเข้ารับการรักษาปอดบวมและการติดเชื้ออื่น ๆ พระองค์ยังทรงประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจหลายครั้ง ซึ่งทำให้เกิดความกังวล
พระสันตะปาปาฟรานซิสมีพระนามเดิมว่า จอร์จ มาริโอ เบอร์โกกลิโอ เป็นพระสันตะปาปาพระองค์แรกจากทวีปอเมริกา
พระองค์ทรงป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบเมื่อยังทรงพระเยาว์ และทรงต้องผ่าตัดเอาปอดบางส่วนออก ซึ่งทำให้พระองค์มีความเสี่ยงต่อโรคปอดบวมเป็นพิเศษ
เนื่องจากพระองค์ต้องรักษาตัวเป็นเวลานาน จึงมีการคาดเดากันว่าพระสันตะปาปาฟรานซิสอาจทรงเลือกลาออกจากตำแหน่งพระสันตะปาปาตามรอยพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16
แต่เพื่อนและนักเขียนชีวประวัติที่ใกล้ชิดกับพระสันตะปาปายืนยันว่าพระองค์ไม่มีแผนที่จะลาออก และแม้ว่าพระสันตะปาปาจะทรงมีพระพลานามัยที่อ่อนแอ แต่พระองค์ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
เรียบเรียงจาก BBC