ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์แจ้งผลหารือระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เจ้าหน้าที่ยูเครน และรัสเซีย ที่กรุงริยาดของประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ทั้งสองประเทศเห็นพ้องที่จะรับรองความปลอดภัยให้แก่เส้นทางเดินเรือพาณิชย์ และหยุดการโจมตีทางทหารในทะเลดำ
นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังให้สัญญาว่าจะออกมาตรการสำหรับการบังคับใช้ข้อตกลงระงับโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานระหว่างกัน
อย่างไรก็ตาม ทำเนียบประธาธิบดีรัสเซียระบุว่า ข้อตกลงหยุดยิงในทะเลดำจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อมีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อธนาคารเพื่อการเกษตรของรัสเซียและสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่ทำหน้าที่ให้บริการด้านการค้าปุ๋ยและอาหารระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลรัสเซียยังเรียกร้องให้สถาบันการเงินหล่านี้ได้รับอนุญาตให้กลับไปใช้ระบบของ "สมาคมเพื่อการโทรคมนาคมทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก" หรือ SWIFT ซึ่งกว่า 200 ประเทศทั่วโลกใช้เป็นช่องทางรับส่งข้อความเกี่ยวกับการโอนเงินและหลักทรัพย์ข้ามชาติ
โดยที่ผ่านมา แม้ชาติตะวันตกยังไม่เคยสั่งคว่ำบาตรภาคเกษตรของรัสเซียเป็นการเฉพาะ แต่รัฐบาลรัสเซียได้แสดงความไม่พอใจต่อการใช้มาตรการจำกัดการซื้อประกันภัยด้านการขนส่งสินค้าและการทำธุรกรรมของธนาคารเพื่อการเกษตร เนื่องจากส่งผลเสียต่อการส่งออกของประเทศ
ด้านประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ระบุว่า ข้อตกลงหยุดการโจมตีในทะเลดำจะมีผลบังคับใช้ทันที แต่ตนเองยังไม่สามารถไว้ใจรัสเซียได้ และหากเงื่อนไขถูกละเมิด จะมีการเรียกร้องให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพิ่มเติม และยกระดับความช่วยเหลือด้านอาวุธที่มอบให้แก่ยูเครน
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยูเครน รุสเท็ม อูเมรอฟ ซึ่งเข้าร่วมในการเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในซาอุดีอาระเบีย บอกว่า ยังคงต้องทำงานเพื่อลงในรายละเอียดในข้อตกลงทะเลดำ พร้อมเตือนว่า หากกองเรือรบรัสเซียเคลื่อนตัวจากทางตะวันออกของทะเลดำ เมื่อนั้น ยูเครนก็จะมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการปกป้องตนเอง
สำหรับยูเครนและรัสเซียเคยทำข้อตกลงร่วมกับตุรกีและสหประชาชาติในเดือน ก.ค. 2022 เพื่อรับประกันความปลอดภัยด้านการขนส่งธัญพืช รวมถึงสินค้าสำคัญอื่น ๆ เช่นปุ๋ยผ่านเส้นทางทะเลดำ ซึ่งต้องระงับไปหลังสงครามระหว่างสองประเทศเริ่มต้นขึ้นในเดือน ก.พ. ทำให้ราคาอาหารโลกถีบตัวสูงขึ้นเนื่องจากทั้งยูเครนและรัสเซีย เป็นประเทศผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่ในตลาดโลก
ข้อตกลงนีัมีกำหนดต่ออายุทุก ๆ 120 วัน แต่รัสเซียได้ตัดสินใจถอนตัวออกไปในเดือน ก.ค. 2023 โดยอ้างว่าเงื่อนไขสำคัญหลายข้อไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติจริง เช่นการเปิดทางให้รัสเซียสามารถส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารได้มากขึ้น