“นครรัฐวาติกัน” คือชื่อของประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก มีพื้นที่เพียง 0.49 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น ตั้งอยู่ภายในกรุงโรม เมืองหลวงของประเทศอิตาลี นั่นหมายความว่า หากใครไปที่กรุงโรม และเข้าไปในเขตนครรัฐวาติกัน เท่ากับว่ากำลังจะออกจากอิตาลีและเข้าสู่ประเทศใหม่
นครรัฐวาติกันยังผลิตเงินของตัวเอง มีธงของตัวเอง พิมพ์แสตมป์ของตัวเอง และมีแม้แต่เพลงชาติของตัวเอง และเป็นประเทศเดียวในโลกที่ “ปิดทำการ” ในเวลากลางคืน
นครรัฐวาติกันมีประชากรไม่ถึง 1,000 คน โดยมีพระสันตะปาปาเป็นประมุข และเป็นประเทศที่มีกองทัพที่เล็กที่สุดในโลกอีกด้วย มีเพียงทหารรักษาพระองค์ 110 นายที่ต้องผ่านกระบวนการฝึกฝนและการคัดเลือกที่เข้มงวด โดยทหารรักษาพระองค์บางคนได้รับอนุญาตให้แต่งงานและมีครอบครัวได้ด้วย
ความพิเศษเหล่านี้ของนครรัฐวาติกันทำให้หลายคนสงสัยว่า ประเทศที่เล็กที่สุดในโลกแห่งนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
ชื่อ “วาติกัน” นั้น มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่ยุคสาธารณรัฐโรมัน (509-27 ปีก่อนคริสตกาล) โดยเป็นชื่อเรียกพื้นที่หนองน้ำบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไทเบอร์ที่เรียกว่า “Ager Vaticanus” และใกล้ ๆ กันมีพื้นที่ในกรุงโรมที่ถูกเรียกว่า “เนินวาติกัน” (Vatican Hill) ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในปัจจุบัน
ภายหลังการประสูติของพระเยซู ศาสนาคริสต์ได้เผยแผ่อิทธิพลในยุโรปอย่างต่อเนื่อง จนในปี 313 จักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) ได้ให้สถานะทางกฎหมายแก่ศาสนจักรโรมันคาทอลิก
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (Western Roman Empire) ในปี 476 ทำให้ประชาชนจำนวนมากหันมาพึ่งใบบุญของศาสนจักร จน “อำนาจทางโลก” ของพระสันตะปาปาในพื้นที่อิตาลีตอนกลางเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ใช่แค่ผู้นำทางจิตวิญญาณหรือผู้นำศาสนา
กระทั่งปี 756 มีการสถาปนา “รัฐสันตะปาปา” (Papal State) หรือดินแดนต่าง ๆ ในอิตาลีที่อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของพระสันตะปาปา มีการสร้างกองทัพเป็นของตัวเอง จนกลายเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสำคัญ
ศาสนจักรเรืองอำนาจเป็นเวลามากกว่า 1,000 ปี จนอาณาเขตของรัฐสันตะปาปาขยายตัวครอบคลุมพื้นที่ 1 ใน 3 ของอิตาลี รวมถึงกรุงโรมด้วย และพระสันตะปาปากลายเป็นผู้ปกครองทางโลกที่สำคัญในอิตาลี
จนในปี 1861 เกิดการสถาปนาราชอาณาจักรอิตาลี (Kingdom of Italy) จากการรวมตัวกันของรัฐอิตาลีหลาย ๆ รัฐภายใต้การนำของราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย
ราชอาณาจักรอิตาลีเข้ายึดครองดินแดนของรัฐสันตะปาปาส่วนใหญ่ จนเหลือเพียงแคว้นลาซิโอ (Lazio) ซึ่งมีกรุงโรมรวมอยู่ด้วย ที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของพระสันตะปาปา
ท้ายที่สุดในปี 1870 กองกำลังของราชอาณาจักรอิตาลีเข้ายึดกรุงโรมเอาไว้ได้ ศาสนจักรเหลือเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ในวาติกัน ทำให้อิตาลีเสนอที่จะจัดตั้งนครรัฐสำหรับคริสตจักรนิกายโรมันคาธอลิกให้ในพื้นที่ดังกล่าว แต่พระสันตะปาปาปิอุสที่ 9 และผู้สืบทอดตำแหน่งหลังจากนั้น ปฏิเสธที่จะยอมรับข้อเสนอดังกล่าว และเรียกตนเองว่าเป็น “เชลย”
หลังจากนั้นสถานการณ์ระหว่างอิตาลีและศาสนจักรอยู่ในภาวะสงครามเย็น เป็นข้อพิพาทระยะยาวที่เรียกกันว่า “Roman Question”
สถานการณ์ความขัดแย้งคลี่คลายในวันที่ 11 ก.พ. 1929 เมื่อศาสนจักรและราชอาณาจักรอิตาลีตกลงลงนามใน “สนธิสัญญาลาเตรัน” (Lateran Treaty) โดยนายกรัฐมนตรีและหัวหน้ารัฐบาล เบนิโต มุสโสลินี เป็นตัวแทนลงนามฝั่งอิตาลี ในนามของพระเจ้าวิกเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 และพระคาร์ดินัล เปียโตร กัสปาร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศศาสนจักร เป็นตัวแทนลงนามในนามของสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11
สนธิสัญญาดังกล่าวซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 1929 กำหนดให้อิตาลีต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่รัฐพระสันตปาปาที่ถูกยึดครองด้วย ได้รับรองสถานะเอกราชสมบูรณ์ของสันตะสำนักในนครรัฐวาติกัน ทำให้มีสถานะเป็นประเทศที่มีเอกราชอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เรียบเรียงจาก BBC / Vatican Trips