รายงานฉบับล่าสุดที่เผยแพร่โดยสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม หรือซิปรี (SIPRI) เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ระบุว่า การใช้จ่ายด้านการทหารในปี 2024 เพิ่มขึ้น 9.4% จากปี 2023 มาอยู่ที่ 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 90 ล้านล้านบาท) ถือเป็นการเพิ่มขึ้นปีต่อปีที่สูงที่สุด และเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้นทำให้การใช้จ่ายด้านการทหารเพิ่มสูงขึ้นในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในยุโรปและตะวันออกกลาง
SIPRI ระบุว่า กว่า 100 ประเทศทั่วโลกเพิ่มรายจ่ายด้านกลาโหมในปี 2024 โดยขณะที่รัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางการทหารมากขึ้น ก็มักจะปรับลดงบด้านอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมากในอนาคต
สงครามในยูเครนและความกังวลว่าสหรัฐฯ จะยังมุ่งมั่นกับนาโตหรือไม่ ทำให้การใช้จ่ายด้านกลาโหมในยุโรปเพิ่มขึ้น 17% โดยรายจ่ายกองทัพของรัสเซียเพิ่มขึ้น 38% จากปี 2023 อยู่ที่เกือบ 1 แสน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2024 คิดเป็น 7.1% ของจีดีพีของรัสเซีย และ 19% ของรายจ่ายของรัฐบาลทั้งหมด
ขณะที่รายจ่ายด้านกลาโหมของยูเครนเพิ่มขึ้น 2.9% มาอยู่ที่ 64,700 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 34% ของจีดีพี ซึ่งถือเป็นสูงกว่าทุกประเทศในปี 2024
ส่วนประเทศที่ใช้จ่ายด้านกลาโหมสูงที่สุดอย่างสหรัฐฯ มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 5.7% เป็น 997,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 66% ของรายจ่ายทั้งหมดของนาโต และ 37% ของการใช้จ่ายด้านการทหารของทั้งโลกในปี 2024
งบกลาโหมในตะวันออกกลางเองเพิ่มสูงขึ้นมากเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 15% จากปี 2023 มาอยู่ที่ 243,000 ล้านดอลลาร์
ในขณะที่อิสราเอลยังคงดำเนินปฏิบัติการโจมตีในฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง รายจ่ายของกองทัพอิสราเอลได้พุ่งขึ้น 65% มาอยู่ที่ 46,500 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่สงคราม 6 วัน ในปี 1967
ในทางกลับกัน รายจ่ายด้านกลาโหมของอิหร่านลดลง 10% มาอยู่ที่ 7,900 ล้านดอลลาร์ แม้จะมีส่วนร่วมในความขัดแย้งในภูมิภาคและสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธตัวแทน
ส่วนจีน ซึ่งเป็นผู้ใช้จ่ายด้านกลาโหมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ได้เพิ่มงบกองทัพ 7% เป็น 314,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น 30 ปีติดต่อกัน
การใช้จ่ายด้านกลาโหมของจีน ซึ่งกำลังลงทุนกับการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยและขยายศักยภาพการทำสงครามไซเบอร์และคลังอาวุธนิวเคลียร์ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของการใช้จ่ายด้านกลาโหมทั้งหมดในเอเชียและโอเชียเนีย