หลังจากการปะทะระหว่างอินเดียและปากีสถานที่ทวีความรุนแรงต่อเนื่องหลายวัน จนนำไปสู่การยิงขีปนาวุธและโดรนถล่มฐานทัพหลักของอีกฝ่าย ซึ่งถือว่าเป็นการเผชิญหน้าที่ใกล้เคียงสงครามเต็มรูปแบบที่สุดในรอบหลายสิบปี
ล่าสุด ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า อินเดียและปากีสถานได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้ว โดยกล่าวชื่นชมว่า “ทั้งสองประเทศมีความเข้มแข็ง ปัญญา และความอดทนที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะยุติความรุนแรงที่อาจนำไปสู่การสูญเสียชีวิตและความเสียหายอย่างใหญ่หลวง”
แต่ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากประกาศหยุดยิง ก็มีการยิงอีกครั้งตามแนวชายแดนแคชเมียร์ รวมถึงการส่งขีปนาวุธและโดรนมายังดินแดนแคชเมียร์ฝั่งอินเดีย ทำให้เกิดความกังวลว่าข้อตกลงอาจล่ม
ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าเป็นผู้เริ่มการละเมิดข้อตกลงก่อน ขณะที่ฝั่งปากีสถานกล่าวว่ายังคงมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างซื่อสัตย์
อย่างไรก็ตาม เช้าวันที่ 11 พ.ค. สถานการณ์ชายแดนทั้งสองฝั่งก็กลับสู่ความสงบ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมีความหวังว่าสันติภาพที่เปราะบางนี้จะยังคงอยู่ต่อไป
ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างอ้างว่า การหยุดยิงเป็นชัยชนะของตน ซึ่งจุดกระแสชาตินิยมเพิ่มสูงขึ้นในทั้งสองประเทศ โดยรัฐมนตรีกลาโหมอินเดีย ราชนาถ ซิงห์ กล่าวว่า “เสียงคำรามของกองกำลังอินเดียได้ไปถึงราวัลปินดี ซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพปากีสถาน”
นอกจากนี้ ซิงห์ยังกล่าวด้วยว่า ปฏิบัติการทางทหารที่มีชื่อว่า “ปฏิบัติการซินดูร์” นั้นไม่ใช่แค่ปฏิบัติการทางทหาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของเจตจำนงทางการเมือง สังคม และยุทธศาสตร์ของอินเดีย
ฝั่งปากีสถาน มีการจัดขบวนพาเหรดในหลายเมืองเพื่อเชิดชูกองทัพ ขณะที่นายกรัฐมนตรี เชห์บาซ ชารีฟ ได้ประกาศให้เมื่อวันที่ 11 พ.ค. เป็นวันสดุดีกองทัพจากการตอบโต้การรุกรานของอินเดียเมื่อไม่นานนี้
ทั่วประเทศมีการจัดงานเฉลิมฉลองและชุมนุม โดยเฉพาะในดินแดนแคชเมียร์ฝั่งที่ปกครองโดยปากีสถาน