โลกต่างตกตะลึงเมื่อสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีโรงงาน 3 แห่งของอิหร่านในวันที่ 22 มิ.ย. ภายใต้ปฏิบัติการ “มิดไนต์แฮมเมอร์” ซึ่งเป็นไปอย่างแยบยลในแบบที่ไม่มีใครรู้เลยว่า สหรัฐฯ กำลังจะโจมตีอิหร่าน
ในการบรรยายสรุปของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ พล.อ.แดน เคน ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วม เปิดเผยว่า ภารกิจโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านใช้เวลาทั้งสิ้น 37 ชั่วโมง โดยมีการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศหลายครั้ง และยุทธวิธีหลอกล่อหลายครั้ง
ขณะที่ พีต เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า เครื่องบินทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ “เข้า ออก และกลับ โดยที่โลกไม่รู้เลย”
ปฏิบัติการเริ่มต้นหลังเที่ยงคืน
ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นหลังเวลา 00.01 น. ของวันที่ 21 มิ.ย. ตามเวลาเขตตะวันออก (11.01 น. ตามเวลาประเทศไทย) ภายใต้ความมืดมิด เครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ B-2 ขึ้นบินจากฐานทัพอากาศไวต์แมน ในรัฐมิสซูรี
เป้าหมายสูงสุดของเครื่องบินทิ้งระเบิดนี้คือโรงงานนิวเคลียร์ที่ปลอดภัยที่สุดของอิหร่านในฟอร์โด (Fordo) เป็นโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ที่ตั้งอยู่ใต้ดินลึก 80-90 เมตร และถือเป็นศูนย์กลางของโครงการนิวเคลียร์ของประเทศอิหร่าน
เครื่องบิน B-2 บรรทุก “บังเกอร์บัสเตอร์” (Bunker Buster) ระเบิดอันทรงพลังที่สามารถเจาะคอนกรีตได้ลึกกว่า 18 เมตร สหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวในโลกที่ทราบว่ามีอาวุธประเภทนี้อยู่ในครอบครอง
แต่โลกยังไม่ได้จับตามองหรือคาดคิดว่าจะเกิดการโจมตี ทุกสายตามองไปทางทิศตะวันตก ไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก หลังจากมีรายงานว่า เครื่องบินทิ้งระเบิดดังกล่าวถูกส่งไปยังกวมของสหรัฐฯ
แต่นั่นเป็นเพียงกลลวง ตามรายงานของกระทรวงกลาโหม นี่เป็นการล่อลวงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากเที่ยวบินลับสุดยอดที่มุ่งหน้าตรงไปยังอิหร่านข้ามผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก
พล.อ.เคนกล่าวว่า “เครื่องบินที่บินไปทางตะวันตกเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นความพยายามหลอกลวงที่รู้กันเฉพาะนักวางแผนและผู้นำสำคัญเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
เขาเสริมว่า “การโจมตีหลักประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 จำนวน 7 ลำ ซึ่งแต่ละลำมีลูกเรือ 2 คน บินไปทางตะวันออกอย่างเงียบ ๆ โดยมีการสื่อสารเพียงเล็กน้อย”
เครื่องบินทหารเหล่านี้ไม่ปรากฏบนเว็บไซต์ติดตามเที่ยวบิน และแม้ว่าภาพถ่ายดาวเทียมจะช่วยแสดงขอบเขตของความเสียหายที่จุดต่าง ๆ แต่ไม่สามารถบอกเวลาที่แน่นอนที่จุดดังกล่าวถูกโจมตีได้
บินเข้าน่านฟ้าแบบไม่มีใครรู้
เมื่อกองบินไปถึงตะวันออกกลาง เวลาประมาณ 17.00 น. ตามเวลาเขตตะวันออก (04.00 น. ของวันที่ 22 มิ.ย. ตามเวลาประเทศไทย) ก็มีเครื่องบินสนับสนุนเข้าร่วมด้วย ซึ่งช่วยปกป้องเครื่องบินทิ้งระเบิดด้วยการค้นหาเครื่องบินขับไล่ของศัตรูและภัยคุกคามจากขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ ซึ่งพลเอกเคนเรียกว่าเป็น “ขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีเวลาจำกัด”
อย่างไรก็ตาม เครื่องบินขับไล่ของอิหร่านไม่ได้ขึ้นบิน และระบบป้องกันภัยทางอากาศก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยิงกระสุนต่อต้านอะไรเลย
ในเวลาเดียวกันกับที่กองบิน B-2 เริ่มเข้าสู่ภูมิภาคตะวันออกกลาง สหรัฐฯ ได้หลอกล่ออิหร่านอีกครั้ง ด้วยการยิงขีปนาวุธร่อนโจมตีภาคพื้นดินโทมาฮอว์ก (Tomahawk) หลายสิบลูกจากเรือดำน้ำสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ในทะเลอาหรับไปยังโรงงานนิวเคลียร์ใกล้เมืองอิสฟาฮาน (Isfahan)
ดร.สเตซี เพ็ตตีจอห์น ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันประเทศจากศูนย์ความมั่นคงอเมริกันยุคใหม่ กล่าวว่า แม้ว่าโรงงานนิวเคลียร์จะอยู่ห่างจากชายฝั่งหลายร้อยกิโลเมตร แต่เรือดำน้ำก็อยู่ใกล้พอที่จะทำให้ขีปนาวุธร่อนพุ่งเข้าใส่โรงงานได้ในเวลาไล่เลี่ยกันกับที่เครื่องบิน B-2 ทิ้งระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์เหนือโรงงานนิวเคลียร์อีกสองแห่ง
เธอบอกว่า ทั้งหมดนี้หมายความว่า “สหรัฐฯ สามารถโจมตีอย่างกะทันหันแบบประสานงานกันในหลายจุดได้”
ขณะเดียวกัน กองบินทิ้งระเบิดก็เข้าสู่พื้นที่น่านฟ้าของอิหร่าน ซึ่งสหรัฐฯ ใช้กลวิธีหลอกลวงอื่น ๆ รวมถึงการล่อหลอกเพิ่มเติม “จากนั้นการโจมตีทางอากาศก็เริ่มขึ้น”
ทิ้งระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์
เวลาประมาณ 18.40 น. ตามเวลาเขตตะวันออก (05.40 น. ของวันที่ 22 มิ.ย. ตามเวลาประเทศไทย) เครื่องบินทิ้งระเบิดได้ทิ้งระเบิด GBU-57 Massive Ordnance Penetrator หรือที่เรียกว่า MOP จำนวน 2 ลูก ลงบนเป้าหมายแรกจากหลายเป้าหมายที่ฟอร์โด
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ระเบิด MOP สามารถเจาะลงบนพื้นคอนกรีตได้ลึกประมาณ 18 เมตร หรือทะลวงดินได้ลึก 61 เมตร ก่อนที่จะระเบิด ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าจะไม่ได้รับประกันความสำเร็จ แต่ก็เป็นระเบิดลูกเดียวในโลกที่สามารถเข้าใกล้ความลึกของอุโมงค์ในโรงงานฟอร์โดได้
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการทิ้งระเบิด “บังเกอร์บัสเตอร์” ในปฏิบัติการรบจริง
ส่วนเครื่องบินทิ้งระเบิดที่เหลือได้โจมตีเป้าหมายที่เหลือ โดยทิ้ง MOP ทั้งหมด 14 ลูกที่ฟอร์โดและโรงงานนิวเคลียร์แห่งที่สองที่นาทันซ์ (Natanz) และที่โรงงานนิวเคลียร์อิสฟาฮานซึ่งอยู่ห่างจากฟอร์โดกว่า 200 กม. ก็ยังคงถูกโจมตีจากขีปนาวุธโทมาฮอว์ก
หลังจากบินต่อเนื่องอยู่บนอากาศนาน 18 ชั่วโมง เป้าหมายทั้งหมดถูกโจมตีภายในเวลาเพียงประมาณ 25 นาที ก่อนที่พวกเขาจะออกจากอิหร่านในเวลา 19.30 น. ตามเวลาเขตตะวันออก (08.30 น. ของวันที่ 22 มิ.ย. ตามเวลาประเทศไทย) เพื่อกลับสหรัฐฯ โดยไม่มีการยิงตอบโต้จากอิหร่านในระหว่างการเข้าโจมตีหรือเดินทางกลับออกมา
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า นี่เป็นปฏิบัติการรบของ B-2 ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นภารกิจที่บินไกลที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเครื่องบินชนิดนี้
โดยรวมแล้ว ในปฏิบัติการนี้ ใช้เวลาทั้งสิ้น 37 ชั่วโมงนับตั้งแต่ขึ้นบินจนถึงกลับมายังสหรัฐฯ มีการใช้อาวุธนำวิถีแม่นยำประมาณ 75 หน่วยและเครื่องบินสหรัฐฯ มากกว่า 125 ลำ
ดร.เพ็ตตีจอห์นกล่าวว่า “นี่เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนและแยบยลอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งไม่มีประเทศใดในโลกสามารถทำได้ แต่แม้ว่าปฏิบัติการนี้จะประสบความสำเร็จในเชิงยุทธวิธี ก็ยังไม่ชัดเจนว่า จะบรรลุเป้าหมายในการยุติโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างถาวรได้หรือไม่”
รัฐบาลทรัมป์ประกาศว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นชัยชนะโดยสมบูรณ์ โดยอ้างว่าสหรัฐฯ ได้ทำลายล้างระบอบนิวเคลียร์ของอิหร่านไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงยังไม่สามารถประเมินขอบเขตความเสียหายที่แท้จริงและผลที่ตามมาได้
ขณะเดียวกัน แม้ว่าอิหร่านจะยืนยันการโจมตีดังกล่าวแล้ว แต่ก็ได้ลดขอบเขตความเสียหายลงและไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หลักฐานของขอบเขตทั้งหมดของการโจมตีจะต้องใช้เวลาในการประเมิน โดยต้องมีการบันทึกภาพเพิ่มเติมเพื่อดูว่าระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์สามารถเจาะเข้าไปในโรงงานนิวเคลียร์ที่สำคัญของอิหร่านได้ลึกแค่ไหน
เรียบเรียงจาก BBC