เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไต้หวัน ไล่ ชิงเต๋อ ได้เปิดตัวระบบป้องกันภัยทางอากาศหลายชั้นที่เรียกว่า “T-Dome” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนรัฐบาลในการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย เพื่อป้องปรามภัยคุกคามจีนได้ดียิ่งขึ้น
ล่าสุด เวลลิงตัน คู รัฐมนตรีกลาโหมไต้หวัน กล่าวว่า ข้อเสนอของประธานาธิบดีไล่ หมายถึงแนวคิด “sensor-to-shooter” ซึ่งมุ่งไปที่การรวมระบบตรวจจับและระบบยิงเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถตอบโต้เป้าหมายฝ่ายศัตรูได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
แนวคิด “sensor-to-shooter” เป็นสิ่งที่กองทัพสหรัฐฯ ให้ความสำคัญมาตลอดเช่นกัน รวมถึงแนวคิด Combined Joint All-Domain Command and Control (CJADC2) ที่เชื่อมต่อระบบตรวจจับและระบบยิงเข้าด้วยกันในระบบเดียว
ระบบป้องกันภัยจากพื้นดินสู่อากาศของไต้หวันในปัจจุบันประกอบด้วยระบบขีปนาวุธแพทริออต (Patriot) ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ, ขีปนาวุธสกายโบว์ (Sky Bow) ที่ผลิตในประเทศ และขีปนาวุธสติงเกอร์ (Stinger) สำหรับการสกัดเป้าหมายระดับต่ำ นอกจากนี้ ไต้หวันยังอยู่ระหว่างการพัฒนาขีปนาวุธเชียงกง (Chiang-Kong) สำหรับการสกัดเป้าหมายที่ระดับความสูงมากด้วย
คูกล่าวเพิ่มเติมว่า งบประมาณพิเศษปลายปีนี้จะมุ่งเน้นการจัดหาอุปกรณ์ใหม่สำหรับระบบ T-Dome ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการทำสงครามแบบ “อสมมาตร” ของไต้หวัน ที่มุ่งทำให้กองทัพซึ่งมีขนาดเล็กกว่าจีนนั้น มีความคล่องตัวและสามารถโจมตีได้อย่างแม่นยำและทรงพลังมากขึ้น
ประธานาธิบดีไล่ ซึ่งปฏิเสธคำกล่าวอ้างอธิปไตยของจีน ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมให้ถึงร้อยละ 5 ของจีดีพีภายในปี 2030
จีนยังไม่ตัดทางเลือกในการใช้กำลังเพื่อทำให้ไต้หวันอยู่ภายใต้การควบคุมของตน ขณะเดียวกัน จีนก็กำลังพัฒนาอาวุธใหม่ ๆ เช่น เครื่องบินขับไล่ล่องหนและเรือบรรทุกเครื่องบิน แต่กองทัพจีนเองก็ยังเผชิญปัญหาการปราบปรามคอร์รัปชันภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง