ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับรายงานการลักพาตัวชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นให้สมาชิกรัฐสภาจากทุกพรรคเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปฏิบัติการช่วยเหลือทางทหาร เพื่อนำตัวผู้ที่ถูกกักขังกลับประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะใช้ช่องทางการทูตหรือความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนระหว่างสองประเทศมากกว่าที่จะใช้กำลังเพื่อแก้ไขปัญหา
เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 68 ซง ออน-ซอก หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (PPP) ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดี อี แจ-มยอง เข้าแทรกแซงโดยตรงในเรื่องนี้ โดยอ้างถึงภารกิจช่วยเหลือตัวประกันทางทหารในปี 2554
“ในอดีต รัฐบาลของเราได้ดำเนินปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบ นั่นคือภารกิจ ‘รุ่งอรุณแห่งอ่าวเอเดน’ เพื่อช่วยเหลือพลเมืองเกาหลีใต้ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน” ซงกล่าว
ปฏิบัติการรุ่งอรุณแห่งอ่าวเอเดน ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือน ม.ค. 2554 เป็นภารกิจช่วยเหลือตัวประกันทางทะเลที่ดำเนินการโดยหน่วยคอมมานโดของกองทัพเรือเกาหลีใต้ หลังจากที่โจรสลัดโซมาเลียได้จี้เรือซัมโฮจิวเวลรี ซึ่งเป็นเรือบรรทุกสารเคมีที่เกาหลีใต้เป็นผู้ดำเนินการ ในทะเลอาหรับ
ครั้งนั้น หน่วยรบพิเศษได้บุกโจมตีเรือลำดังกล่าวในช่วงก่อนรุ่งสาง ทำให้โจรสลัดเสียชีวิตหลายคนและลูกเรือทั้ง 21 นายได้รับอิสรภาพ ปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นของเกาหลีใต้ในการปกป้องชาวเกาหลีในต่างประเทศด้วยการดำเนินการอย่างเด็ดขาดเมื่อความพยายามทางการทูตล้มเหลว
ซงยังเรียกร้องให้ประธานาธิบดี อี แจ-มยอง ระดมช่องทางการทูตทั้งหมด รวมถึงการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินระหว่างหน่วยงาน การส่งทูตพิเศษ และการโทรศัพท์โดยตรงระหว่างผู้นำประเทศเพื่อกระตุ้นให้กัมพูชาดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
คำกล่าวของซงสอดคล้องกับข้อเสนอของ อี อึนจู สส.พรรคประชาธิปไตยเกาหลี (DP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ผู้เชื่อว่า รัฐบาลไม่ควรตัดมาตรการทางทหารออกไป หากรัฐบาลกัมพูชาไม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาด
“เราต้องแสดงให้โลกเห็นว่าใครก็ตามที่ก่ออาชญากรรมหรือก่อการร้ายต่อชาวเกาหลีจะต้องถูกลงโทษจนถึงที่สุด หากกัมพูชาตอบโต้อย่างเฉยเมย เราควรพิจารณามาตรการช่วยเหลือตนเอง รวมถึงการปฏิบัติการทางทหาร เพื่อปกป้องพลเมืองของเรา” เธอเขียนไว้ในโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 12 ต.ค.
เธออธิบายว่า เครือข่ายอาชญากรข้ามชาติที่ปฏิบัติการในกัมพูชาเป็น “กลุ่มมาเฟียหรือกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ” และเรียกร้องให้ “เกาหลีใต้ปฏิบัติการปราบปรามร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศและรัฐบาลของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงจีนและญี่ปุ่น”
หัวข้อนี้เป็นประเด็นถกเถียงอย่างดุเดือดระหว่างการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 13 ต.ค. โดย พัก บอม-คเย จากพรรคประชาธิปไตย อ้างว่า “สถานการณ์ในขณะนี้ต้องการระดับความตระหนักรู้ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง” และเรียกร้องให้มีการตอบสนองแบบ “รัฐบาลร่วม”
เขากล่าวว่า กัมพูชาเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์หลักจากความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการของเกาหลีใต้ และเสนอแนะว่า เกาหลีใต้ควรพิจารณา “ทางเลือกทางการทูต ตำรวจ หรือแม้แต่ทางทหาร” หากจำเป็น
ด้าน สส. คัง มิน-กุก จากพรรคพลังประชาชน ได้กล่าวถึงปฏิบัติการรุ่งอรุณแห่งอ่าวเอเดนในปี 2554 โดยบอกว่า เกาหลีใต้ควรพิจารณา “ปฏิบัติการทางทหารร่วมกับกองกำลังความมั่นคงของกัมพูชา” หรือแม้แต่ “ทบทวนการถอนเงินทุนช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา” หากกัมพูชาปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ
แม้จะมีเสียงเรียกร้องมากขึ้นให้รัฐบาลเกาหลีใต้ทบทวนทางเลือกในการปฏิบัติการทางทหาร แต่สำนักงานประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลับให้ความสำคัญกับความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนมากกว่า
ยุน ชาง-ยุล รัฐมนตรีว่าการสำนักงานประสานงานนโยบายรัฐบาล แสดงความหวังว่า สถานการณ์จะคลี่คลายได้โดยไม่ต้องมีปฏิบัติการทางทหาร “จะเป็นการดีที่สุดหากเราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยไม่ต้องดำเนินการถึงขนาดนั้น แต่รัฐบาลจะพิจารณามาตรการทั้งหมดที่เป็นไปได้”
ด้าน วี ซุง-แล็ก ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานฉุกเฉินว่าด้วยอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชา เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานตำรวจแห่งชาติเข้าร่วมด้วย
วีเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ “ส่งตัวพลเมืองที่ตกอยู่ในอันตรายด้านมนุษยธรรมกลับประเทศโดยเร็ว” พร้อมทั้งรับรองว่า พลเมืองเกาหลีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายจะได้รับการสอบสวน
ขณะที่ อี ชิน-ฮวา ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเกาหลี ให้สัมภาษณ์ว่า ปฏิบัติการทางทหาร “แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และน่าจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี”
พร้อมเสริมว่า ปฏิบัติการนี้อาจ “เสี่ยงต่อความผิดพลาดทางการทูต” เธอย้ำถึงความสำคัญของ “มาตรการที่เป็นรูปธรรม” เช่น การจัดตั้งสำนักงานควบคุมถาวรเพื่อคุ้มครองชาวเกาหลีในต่างแดน
ศาสตราจารย์อียังกล่าวอีกว่า การส่งเจ้าหน้าที่สืบสวนของเกาหลีใต้ไปยังกัมพูชาจำเป็นต้องมี “กรอบความร่วมมือทวิภาคีที่แข็งแกร่ง” เธอแนะนำว่า “เกาหลีใต้ควรเสนอมาตรการสนับสนุนเฉพาะเจาะจงแก่กัมพูชา ขณะเดียวกันก็ขอความยินยอมจากรัฐบาลในการส่งเจ้าหน้าที่สืบสวน”
การหารือดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางรายงานที่เพิ่มมากขึ้นว่าชาวเกาหลีใต้จำนวนมากขึ้นถูกลักพาตัวหรือกักขังในกัมพูชา หลังจากถูกหลอกลวงด้วยงานรายได้สูง ความโกรธแค้นของสาธารณชนทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนสิงหาคม เมื่อนักศึกษาชาวเกาหลีใต้คนหนึ่งซึ่งหายตัวไปหลังจากเดินทางไปทำงาน ถูกพบเสียชีวิตใกล้ภูเขาโบกอร์ในจังหวัดกำปง เผยให้เห็นร่องรอยของการถูกทรมานและการกักขัง
เรียบเรียงจาก The Korea Herald