ผู้แทนรัฐสภากัมพูชา นาย อุช โบฤทธิ์ รองประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นเบอร์ 2 รองจาก “ฮุน เซน” ขึ้นกล่าวบนเวที General Debate ในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา (IPU) ครั้งที่ 151 ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
นายอุช โบฤทธิ์ ไม่ปรากฏตัวเลยในห้องประชุมต่าง ๆ ของ IPU ตลอด 2 วันที่ผ่านมา รวมถึงเวที General Debate ซึ่งเป็นเวทีใหญ่วันแรก เมื่อวานนี้ (20 ต.ค.) ที่เปิดให้ประธานรัฐสภาจากประเทศต่าง ๆ ได้อภิปรายต่อที่ประชุมคนละ 6-7 นาที
ซึ่ง ”ประธานวันนอร์“ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาของไทย ขึ้นพูดในลำดับที่ 17 ในลิสต์ A โดยไม่ปรากฏว่า นายอุช โบฤทธิ์ มาร่วมรับฟังด้วยแต่อย่างใด มีเพียงสมาชิกรัฐสภาของกัมพูชามานั่งสังเกตการณ์
ทั้งนี้ นายอุช โบฤทธิ์ มีคิวพูดในลิสต์ B เพราะเป็นรองประธานวุฒิสภา ไม่ใช่ประธาน จึงถูกจัดคิวพูดในวันที่ 2 ของเวที General Debate
การขึ้นกล่าวปราศรัยของ นายอุช โบฤทธิ์ เป็นไปตามความคาดหมายของทีมไทยแลนด์ นั่นคือ ฉวยโอกาสโจมตีไทย จากปัญหาพิพาทตามแนวชายแดนด้วยข้อมูลบิดเบือนเข้าข้างตัวเอง
โดย นายอุช โบฤทธิ์ เริ่มกล่าวด้วยการแสดงไมตรีจิต โดยขอบคุณผู้แทนจากไทยที่มีส่วนร่วมในสมัชชาสหภาพรัฐสภา และยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในเวทีนานาชาติ พร้อมย้ำว่า กัมพูชายึดมั่นสันติภาพ ความปรองดอง และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศทุกข้ออย่างซื่อสัตย์
แต่แล้ว นายอุช โบฤทธิ์ ก็วนมาพูดถึงปัญหาพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยอ้างว่า หากประเมินสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของการประชุม IPU หนนี้ จะพบว่ามาตรฐานมนุษยธรรมถูกละเมิดอย่างรุนแรงจากปัญหาตามแนวชายแดนของกัมพูชา ซึ่งมีปัญหามาเนิ่นนาน
“กัมพูชาไม่คิดจะเป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น จึงขอร้องประเทศไทย ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านของเรา ให้รับทราบเรื่องนี้ด้วย” นายอุช โบฤทธิ์ กล่าว
รองประธานวุฒิสภากัมพูชา กล่าวต่อว่า สงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา เรื่องพรมแดนล้วนมีขอบเขตตามที่กำหนดโดยกฎหมาย ถูกควบคุมโดยเครื่องมือระหว่างประเทศที่มีผลผูกพัน ตั้งแต่สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ.1904 ซึ่งมีแผนที่ประกอบเป็นหลักฐาน นอกจากนั้นยังมีสนธิสัญญาอีกหลายฉบับ ตลอดจนหลักกฎหมาย รวมถึงคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ค.ศ. 1962 ด้วย
นายอุช โบฤทธิ์ ระบุว่า หลักฐานยังถูกเขียนขึ้นโดยบันทึกข้อตกลงปี 2000 (MOU 2543) มีการตั้งกรรมาธิการร่วม รับผิดชอบทางด้านเทคนิคในการดำเนินการเรื่องเขตแดน “น่าเสียดายที่ความขัดแย้งนี้ควรได้รับการพิจารณาตามเครื่องมือทางกฎหมาย รวมถึงอำนาจตุลาการที่ได้รับการยอมรับ”
ผู้แทนรัฐสภากัมพูชายังถือโอกาสนี้แสดงความขอบคุณประเทศจีน มาเลเซีย และ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ สำหรับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา และมีการสร้างผลงานสำคัญขึ้นมา นั่นก็คือข้อตกลงหยุดยิงของทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม
แต่แม้กระบวนการตามข้อตกลงจะมีความก้าวหน้า ทว่าบริเวณพรมแดนยังคงเปราะบาง ชาวบ้านกัมพูชายังคงถูกโยกย้าย ถูกปิดล้อม และถูกดดันให้ออกจากพื้นที่ ทหารกัมพูชา 18 คนยังถูกควบคุมตัว ซึ่งถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน
นอกจากนั้นยังมีปฏิบัติการจิตวิทยา ปล่อยเสียงแหลมดังในเวลากลางคืน ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว แม้การกระทำเช่นนี้จะไม่ใช่การโจมตีอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง แต่ก็เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายข้อ โดยเฉพาะสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง โดยไทยกระทำการฝ่ายเดียวเพื่อกำหนดข้อบังคับต่าง ๆ อ้างว่าเป็นการกระทำภายในประเทศของตน
นายอุช โบฤทธิ์ กล่าวอีกตอนหนึ่งว่า กัมพูชายอมรับไม่ได้ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดต่อมรดกโลก เพราะปราสาทพระวิหาร และปราสาทต่าง ๆ เป็นของกัมพูชา การส่งกำลังทหารเข้าไปก็เพื่อพิทักษ์ปราสาทของเรา เป็นพื้นที่ของกัมพูชา รวมถึงการวางอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ก็อยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชา
อย่างไรก็ดี นายอุช โบฤทธิ์ พยายามกล่าวย้ำหลายครั้งว่า กัมพูชาเคารพต่อข้อตกลงหยุดยิง กฎหมายระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาทุกฉบับ
เป็นที่น่าสังเกตว่า รองประธานวุฒิสภาของกัมพูชา พูดเกินเวลาไปมาก พูดจนเวลาหมด ทั้ง ๆ ที่บริเวณโพเดียมจะมีการติดไฟเตือนสีแดงเอาไว้ เมื่อเวลาหมดก็จะมีแสงเตือนขึ้นคล้าย ๆ ไซเรน ปรากฏว่าการพูดของ นายอุช โบฤทธิ์ เกินเวลาไปนานมาก แสงไฟสีแดงเตือนถี่ ๆ หลายรอบ แต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจ
นอกจากนั้น ประธานการประชุมของสมัชชาสหภาพรัฐสภา ซึ่งเป็นสุภาพสตรี ก็ได้พูดขัดจังหวะ และแจ้งเตือนผ่านไมโครโฟนหลายครั้งว่า “เวลาหมดแล้ว” แต่ นายอุช โบฤทธิ์ ก็ไม่สนใจ พยายามพูดจนจบตามเนื้อหาที่เตรียมมา จนถูกสมาชิกชาติอื่น ๆ ส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ
หลังจาก นายอุช โบฤทธิ์ กล่าวจบ ปรากฏว่า ประธานที่ควบคุมเวทีสมัชชาสหภาพรัฐสภา ได้กล่าวตำหนิว่า เป็นการพูดที่ไม่เคารพเวลา ส่งผลกระทบต่อสมาชิกชาติอื่น ๆ เพราะทุกคนก็อยากพูดเช่นเดียวกัน