ประธานาธิบดีอิหร่าน มาซูด เปเซชเคียน ให้สัมภาษณ์ระหว่างการตรวจเยี่ยมสำนักงานพลังงานปรมาณูแห่งอิหร่าน ซึ่งเขาได้พบกับผู้บริหารระดับสูงของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของประเทศ ว่า อิหร่านจะสร้างโรงงานนิวเคลียร์ของตนขึ้นใหม่ ให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม หลังถูกสหรัฐฯ ทำลายไปเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา
“ความรู้นี้อยู่ในตัวนักวิทยาศาสตร์ของเรา การทำลายอาคารหรือโรงงานไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา เราจะสร้างขึ้นใหม่ให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม” เปเซซเคียนกล่าว
เขาเสริมว่า “งานที่พวกท่านทุกคนได้ทำที่นี่ ล้วนเป็นไปเพื่อสุขภาพ อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของเรา”
ถ้อยแถลงของเปเซชเคียนมีขึ้นในลักษณะที่เป็นการท้าทายต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยขู่ว่า จะทิ้งระเบิดโจมตีอีกครั้ง หากอิหร่านพยายามเริ่มโครงการนิวเคลียร์ที่ถูกทำลายไปแล้วขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ตาม อิหร่านยืนยันมาตลอด ทั้งก่อนและหลังการโจมตีของสหรัฐฯ ว่า โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านมีวัตถุประสงค์เพื่อพลเรือนเท่านั้น และมุ่งใช้เพื่อจุดประสงค์ด้านสันติ
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน มิ.ย. สหรัฐฯ ได้โจมตีโครงสร้างพื้นฐานและโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านระหว่างสงคราม 12 วันกับอิสราเอล ซึ่งทั้งสหรัฐฯ และอิสราเอลระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
การโจมตีครั้งนั้น สหรัฐฯ ใช้ระเบิดทะลวงบังเกอร์ขนาดใหญ่ GBU-57 จำนวน 14 ลูก น้ำหนักลูกละประมาณ 14 ตัน ทิ้งใส่โรงงานนิวเคลียร์หลัก 3 แห่งของอิหร่าน ได้แก่ ฟอร์โดว์ นาทานซ์ และอิสฟาฮาน ในปฏิบัติการลับที่มีชื่อรหัสว่า “มิดไนต์แฮมเมอร์”
ทรัมป์อ้างว่า การโจมตีโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2 จำนวน 7 ลำ ซึ่งแต่ละลำบรรทุกระเบิดทะลวงบังเกอร์ได้ 2 ลูกนั้น ได้ทำลายโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านจนสิ้นซาก แต่ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าว โดยระบุว่าทรัมป์พูดเกินจริงเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง