วันที่ 5 พ.ย. ราฟาเอลิโต อเลฮานโดร รองผู้บริหารสำนักงานป้องกันภัยพลเรือนฟิลิปปินส์ ได้รายงานตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตล่าสุด หลังพายุไต้ฝุ่นคัลแมกี (Kalmaegi) ซึ่งเป็นหนึ่งในพายุที่รุนแรงที่สุดในปีนี้ ได้พัดถล่มพื้นที่ภาคกลางของฟิลิปปินส์ โดยระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 66 ราย
พายุไต้ฝุ่นคัลแมกีได้พัดถล่มเมืองต่างๆ บนเกาะเซบู ซึ่งเป็นเกาะที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดทางตอนกลางของประเทศ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 49 ราย และมีผู้สูญหายอีกอย่างน้อย 26 ราย
ยอดผู้เสียชีวิตโดยรวมยังรวมถึงลูกเรือ 6 นายของเฮลิคอปเตอร์ทหารที่ตกเมื่อวันที่ 4 พ.ย. บนเกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของเซบู หลังจากที่เฮลิคอปเตอร์ลำนี้ถูกส่งไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ไต้ฝุ่นคัลแมกีได้อ่อนกำลังลงนับตั้งแต่ขึ้นฝั่งเมื่อเช้าวันที่ 4 พ.ย. แต่ยังคงมีความเร็วลมมากกว่า 80 ไมล์ต่อชั่วโมง คาดการณ์ว่าพายุจะเคลื่อนตัวผ่านภูมิภาคหมู่เกาะวิซายัสและออกสู่ทะเลจีนใต้ภายในวันที่ 5 พ.ย.
เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังรอให้ท้องฟ้าแจ่มใสก่อนจึงจะสามารถส่งมอบความช่วยเหลือได้ เขากล่าวเสริมว่า “ความท้าทายคือเศษซากและรถยนต์บนท้องถนน เรายังต้องจัดการอีกมาก”
ด้าน คาร์ลอส โฮเซ ลาญาส อาสาสมัครกู้ภัย บอกว่า แม้จะเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่พวกเขาก็ยังไม่ทันตั้งตัวกับระดับน้ำท่วมที่เกิดขึ้น “นี่เป็นอุทกภัยที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมา แม่น้ำเกือบทุกสายในเซบูเอ่อล้นตลิ่ง แม้แต่หน่วยกู้ภัยก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ปฏิบัติการกู้ภัยหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่หน่วยกู้ภัยรอบเซบูจะรับมือไหว เพราะมีผู้คนจำนวนมากขอความช่วยเหลือ”
ด้าน พาเมลา บาริกัวโตร ผู้ว่าการเซบู บอกว่า ภัยพิบัติครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ”เราคาดว่าลมจะพัดแรง แต่น้ำต่างหากที่ทำให้ประชาชนของเราตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างแท้จริง น้ำท่วมรุนแรงมาก
บาริกัวโตรประกาศภาวะภัยพิบัติในเซบูเมื่อเย็นวันที่ 4 พ.ย. เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
รายงานระบุว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการจมน้ำ
รายงานของสำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติระบุว่า ณ วันที่ 5 พ.ย. มีผู้อพยพจากภัยพิบัติครั้งนี้มากกว่า 400,000 คน
เรียบเรียงจาก BBC