ตำรวจจลาจลโอบล้อมรัฐสภาของฮ่องกงในวันนี้ (10) หลังจากทางการระบุว่า พวกเขาจะเดินหน้าออกกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งจะทำให้ผู้ต้องสงสัยถูกส่งไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ ถึงแม้ว่าการประท้วงจะมีผู้เข้าร่วมกว่าหนึ่งล้านคนก็ตาม
การประท้วงอย่างสันติผ่านใจกลางศูนย์กลางการเงินโลกแห่งนี้กลายเป็นความรุนแรงเมื่อเช้าวันนี้ในขณะที่ผู้ประท้วงหลายร้อยปะทะกับตำรวจที่ตอบโต้ด้วยสเปรย์พริกไทยก่อนที่การเผชิญหน้าจะหยุดหลังจากนั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง >> ผู้ประท้วงฮ่องกงปะทะตำรวจปราบจลาจล
การประท้วงครั้งนี้นำฮ่องกงเข้าสู่วิกฤตการเมืองครั้งใหม่ สร้างแรงกดดันต่อคณะบริหารของผู้ว่าฮ่องกง แคร์รี แลม และผู้สนับสนุนของเขาในปักกิ่ง สมาชิกสภานิติบัญัตติเก่าแก่หลายคนเรียกร้องให้เขาลาออก กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนนี้จุดชนวนการต่อต้านในวงกว้างอย่างผิดปกติ จากกลุ่มธุรกิจ นักกฎหมาย นักศึกษา แกนนำฝ่ายประชาธิปไตย และกลุ่มศาสนา
การชุมนุมเมื่อวานนี้ เกิดขึ้นหลังหลายสัปดาห์ของความไม่พอใจในชุมชนธุรกิจ การทูต และกฎหมาย ที่กลัวว่าสิทธิปกครองตนเองตามกฎหมายของฮ่องกงจะเสื่อมถอยและไม่มั่นใจว่าจะมีความคุ้มครองทางศาลขั้นพื้นฐานในจีนแผ่นดินใหญ่
คณะผู้จัดแจ้งว่ามีผู้ร่วมชุมนุมกว่าหนึ่งล้านคน มากกว่าการชุมนุมในปี 2003 ที่คน 500,000 คนออกมาสู่ถนนเพื่อคัดค้านแผนของรัฐบาลที่จะทำให้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติเข้มงวดมากขึ้น
ด้านตำรวจแจ้งว่าในช่วงคึกคักสุดของการเดินขบวนมีผู้เข้าร่วม 240,000 คน หลายพันคนยังคงรอเข้าร่วมขบวนจากสวนวิกตอเรียปาร์คบนเกาะฮ่องกงเมื่อวานนี้ ในขณะที่อีกหลายหมื่นคนเดินไปถึงอาคารสภานิติบัญญัติในเขตธุรกิจแอดมิรัลตี
หัวหน้าเลขาธิการคณะบริหารฮ่องกง แมททิว จาง กล่าวในวันนี้ว่า รัฐบาลได้ปรับแก้ร่างกฎหมายทั้งหมดเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของสังคม เขากล่าวว่า ร่างกฎหมายจะได้รับการอภิปรายครั้งที่สองในวันพุธ
“ผมหวังว่าในสภานิติบัญญัติ ทุกๆ คนจะสามารถถกเถียงกันอย่างตรงไปตรงมา มีระเบียบ และมีเหตุผล และยังคงติดตามผลเรื่องนี้ต่อไป” จาง กล่าว
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯและยุโรปออกคำเตือนอย่างเป็นทางการ เหมือนกับกลุ่มวิ่งเต้นทางธุรกิจข้ามชาติและกลุ่มวิ่งเต้นด้านสิทธิมนุษยชนที่กลัวว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้หลักนิติธรรมของฮ่องกงแย่ลง
อดีตอาณานิคมอังกฤษแห่งนี้ถูกส่งกลับคืนสู่การปกครองของจีนในปี 1997 พร้อมกับการรับประกันสิทธิปกครองตนเองและเสรีภาพ รวมถึงระบบกฎหมายอิสระ ที่นักการทูตและผู้นำธุรกิจหลายคนเชื่อว่าเป็นจุดแข็งที่สุดของเมืองนี้