สมาชิกรัฐสภาอิรักทั้ง 170 เสียง ลงมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมวิสามัญ เมื่อวานนี้ (5 ม.ค.63) เห็นชอบร่างกฎหมายที่กำหนดให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาถอนกองทัพออกจากประเทศอิรัก โดยอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 59 และ 109 และเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกสภาในฐานะผู้แทน เพื่อปกป้องความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ
เทียบแสนยานุภาพกองทัพ “สหรัฐฯ-อิหร่าน”
กฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญ คือรัฐบาลกลางในกรุงแบกแดดต้องยกเลิกคำขอร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อต่อสู้กลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม (ไอเอส) ภาคพื้นดิน ปัจจุบันสามารถปราบกลุ่มไอเอสได้แล้ว รัฐบาลจึงควรเลิกอนุญาตให้กองกำลังต่างชาติประจำการในประเทศและป้องกันไม่ให้ต่างชาติใช้น่านฟ้าของอิรัก
โดย รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะตัวแทนรัฐบาลอิรัก ต้องยื่นร้องเรียนต่อสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ว่าสหรัฐอเมริกาละเมิดอธิปไตยและความมั่นคงของอิรัก และแผนการนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว
ล่าสุดกระทรวงต่างประเทศอิรัก ระบุว่า ได้ยื่นหนังสือ 2 ฉบับถึงยูเอ็นและยูเอ็นเอสซี เรียกร้องให้มีการประณามสหรัฐกรณีลอบสังหารนายพลโซไลมานีแล้ว
“ทรัมป์” ขู่ถล่ม 52 พื้นที่สำคัญของอิหร่าน หากสหรัฐฯถูกเอาคืน
อิรักเผยภาพวงจรปิด นาทีสหรัฐฯปลิดชีพ นายพลอิหร่าน
ปัจจุบันกองทัพสหรัฐอเมริกามีทหารในอิรักจำนวน 5,200 นาย ประจำการอยู่ทั่วประเทศ เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังผสมนานาชาติเพื่อสนับสนุนกองกำลังของอิรักต่อสู้กับกองกำลังรัฐอิสลามหรือไอเอส ที่รัฐบาลอิรักเชิญมาประจำการในปี 2557
แฟนลิเวอร์พูล ไม่พอใจ “ทรัมป์” ก่อสงครามโลกครั้งที่3 หวั่นอดชูถ้วยพรีเมียร์ลีก
นอกจากนี้มีรายงานว่า เมื่อวานนี้ กลุ่มคนร้ายไม่ทราบสังกัด ยิงกระสุนปืนครก 2 ลูก ตกลงใกล้สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำอิรัก ในเขต "กรีนโซน" ที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยสูงสุด ในเมืองหลวงกรุงแบกแดด ในเวลาเดียวกัน มีรายงานกลุ่มคนร้ายยิงจรวด 2 ลูก โจมตีฐานทัพอากาศ อัล-บาลัด ห่างจากกรุงแบกแดดไปทางทิศเหนือประมาณ 64 กิโลเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานทัพอิรักที่มีทหารสหรัฐประจำการ แต่ไม่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
Photo : AFP / IRAQI PRIME MINISTER'S PRESS OFFICE