เควิน สติตต์ (Kevin Stitt) ผู้ว่าการรัฐโอคลาโฮมา สมาชิกพรรครีพับลิกัน ประกาศผ่านวิดีโอเมื่อวานนี้ (15 ก.ค.) ว่า ตัวเขาติดเชื้อโควิด-19 โดยเขาได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เมื่อวันอังคาร (14 ก.ค.) และขณะนี้เขารู้สึก “สบายดี” แต่มี “อาการปวดเล็กน้อย”
9 ประเทศเปิดรับนักท่องเที่ยวอเมริกัน ไม่หวั่นโควิด-19
บริษัทสหรัฐฯเผยวัคซีนโควิด-19 ทดลองใช้ได้ผลกับอาสาสมัครทุกคน
หลังจากนี้สติตต์บอกว่าตนเองจะกักตัวอยู่ในบ้าน และจะทำงานจากที่บ้านเพียงอย่างเดียว รวมถึงหลีกเลี่ยงการใหล้ชิดกับคนในบ้าน ซึ่งเบื้องต้นทุกคนมีผลทดสอบเป็นลบ นอกจากนี้ เขายังเผยว่า ค่อนข้างตกใจพอสมควรที่ตนเองกลายเป็นผู้ว่าการรัฐในสหรัฐอเมริกาคนแรกที่ติดเชื้อโควิด-19
“ผมอยากให้เรื่องราวของผมเป็นเครื่องเตือนใจชาวโอคลาโฮมา ว่าหากคุณรู้สึกไม่สบาย เราต้องการให้คุณไปทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซะ” สติตต์บอก
การติดเชื้อโควิด-19 ของสติตต์นั้นได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในผู้ว่าการรัฐที่สนับสนุนให้มีการเปิดรัฐแม้สถานการณ์จะไม่สู้ดี และบางครั้งก็ไม่สนใจคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ในเดือนมีนาคม เขาเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากโพสต์ภาพตัวเองและลูก ๆ ในร้านอาหารที่แออัด
เมื่อปลายเดือนมิถุนายน เมืองทัลซา ซึ่งอยู่ในรัฐโอคลาโฮมา เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากการชุมนุมหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสติตต์เองก็เข้าร่วมงานโดยไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัย เบื้องต้นสติตต์คาดว่าเขาไม่น่าจะติดโควิด-19 มาจากในงานดังกล่าว
ดร.แลนซ์ ฟราย (Lance Frye) ผู้บัญชาการกรมสุขภาพรัฐโอคลาโฮมา กล่าวว่า พวกเขาไม่รู้ว่าสติตต์ติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่เมื่อใด แต่คาดว่าน่าจะเป็นภายในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้ตนเองจะติดเชื้อแล้ว แต่สติตต์ก็ยังยืนกรานที่จะไม่ออกมาตรการบังคับผู้คนสวมใส่หน้ากากอนามัย
“ผมรู้ว่าบางธุรกิจบังคับให้ผู้ใช้บริการสวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งมันก็ดี แต่คุณไม่สามารถเลือกและยัดเยียดเสรีภาพให้กับผู้คนได้ ดังนั้นหากธุรกิจต้องการทำเช่นนั้น ถ้าเทศบาลบางแห่งต้องการทำเช่นนั้น ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็ยังเคารพสิทธิของผู้คนที่ต้องการอยู่บ้าน ที่ต้องการดำเนินธุรกิจ หรือคนที่ไม่ต้องการสวมหน้ากากอนามัย”
สติตต์ยังย้ำอีกว่า เขาไม่มีแผนที่จะยกเลิกการเปิดรัฐในเวลานี้
ปัจจุบัน รัฐโอคลาโฮมามีจำวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสม 21,739 ราย เฉพาะเมื่อวานันเดียวเพิ่มขึ้น 1,075 ราย เข้ารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 561 ราย
เรียบเรียงจาก CNN