หากจะทำความเข้าใจในจุดนั้น เราจำเป็นจะต้องมาตั้งต้นถอดรหัสคำถามพ่วงประชามติกันก่อน คำถามที่คุณผู้ชมที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจะได้ตอบไปพร้อมกับการลงประชามติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ คือ คำถามที่ว่า “เห็นด้วยกับการให้ รัฐสภา เลือก นายกฯ ช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี หรือไม่”
คำสำคัญคือ “รัฐสภา” หมายถึงใคร รัฐสภา ตามเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึง ส.ส.500 คน ที่จะมาจากการเลือกตั้งทั้งระบบบัญชีรายชื่อและสัดส่วน ประกอบกับ ส.ว. 250 คน ที่จะมาจาก คสช. คัดเลือกในขั้นตอนสุดท้าย เพราะฉะนั้น การให้รัฐสภามีสิทธิ์ลงมติเลือกนายกฯ ก็จะหมายถึง การให้ ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้ง มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกนายกฯ คำถามนี้ หากจะถามตรงๆ ก็หมายถึง เห็นด้วยกับการให้ ส.ว.แต่งตั้ง เลือกนายกฯได้หรือไม่ เพราะหลักการที่อยู่เนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญและไม่มีใครโต้แย้ง คือ สิทธิ์การออกเสียงเลือกนายกฯ จะอยู่ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว
และประเด็นคำสัญที่สุด คือ หากนำมาเปรียบเทียบกับเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ โดยเลือกเอาเนื้อหาเฉพาะจุดที่ถูกโต้แย้งที่สุด คือ บทเฉพาะกาล ลำพังเนื้อหาส่วนนี้ก็ให้อำนาจรัฐสภา 750 คน ไว้แค่การออกเสียง ไม่เลือกตัวนายกฯ จากบัญชีพรรคการเมืองเสนอ 3 คน แต่ก็ไม่ได้ให้อำนาจ ส.ว. 250 คน สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้
คำถามพ่วงประชามติ ที่ขัดและย้อนแย้งกับเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า มีความสุ่มเสี่ยงอย่างมาก ที่จะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีปัญหาความไม่ชอบธรรมในอนาคต เพราะแม้จะผ่านประชามติ แต่หากมีกลุ่มบุคคลไม่เห็นด้วยและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดภาวะชะงักงัน และร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงไม่ติดขัดในขั้นตอนใด จะเกิดอะไรขึ้น อาจารย์คมสันต์ โพธิ์คง ตอบว่า ก็จะเกิดโครงการทางการเมืองที่เรียก “สภาค้ำจุน” คือ การมีวุฒิสภา เป็นเสมือนพี่เลี้ยงสภาผู้แทนราษฎร เหมือนที่ประเทศเคยใช้ในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อประมาณปี 2521