ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนลงประชามติ ทำอะไรได้บ้าง หรือ ทำอะไรแล้วจะขัดต่อกฎหมาย ที่ชัดเจนที่สุดในเวลานี้ น่าจะเป็นแนวปฏิบัติที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ออกมาเปิดเผยเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว แม้จะระบุแยกย่อยมาเป็นข้อๆ แต่ในทางปฏิบัติก็อาจจะยังไม่ได้สร้างความชัดเจนได้มากนัก ถึงขั้นที่กรรมการการเลือกตั้งก็ยังยอมรับด้วยตัวเองว่า การทำให้ชัดเจนอย่างที่เรียกร้องกัน คงเป็นไปได้ยาก
ย้อนกลับมาดูพฤติกรรมที่ กกต.ระบุว่า สามารถทำได้ โดยรวมสรุป 6 ข้อ สาระสำคัญก็คือการอนุญาตให้แสดงความเห็นอย่างเสรีในทุกช่องทาง แต่จำเป็นต้องนำเสนอด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริง งานวิชาการ ที่ไม่บิดเบือน ด้วยท่าทีสุภาพ
ส่วนข้อห้าม แบ่งย่อยออกมาชัดๆได้เป็น 8 ข้อ ใจความสำคัญคือ ห้ามนำเสนอความเห็นและข้อมูลด้วยท่าทีหยาบคาย ก้าวร้าวและปลุกปั่นทางการเมืองให้เกิดความวุ่นวาน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นจากการตีความมาจากพระราชบัญญัติว่าด้วยการทำประชามติ มาตรา 61 ส่วนข้อที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุด คือ ข้อสุดท้าย ที่ระบุว่า ห้ามรณรงค์เพื่อให้เกิดการคล้อยตาม ออกเสียงประชามติในทางใดทางหนึ่ง
แม้จะออกแนวทางปฏิบัติมาแล้วระดับหนึ่ง แต่ในรายละเอียดการตีความว่า ประชาชน สามารถอะไรได้ ไม่ได้ ยังคำเป็นสำคัญและเป็นหัวใจเสวนาที่สมาคมนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยจัดขึ้นในวันนี้ โดยมีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ร่วมอธิบายและชี้แจงด้วย
นายสมชัย ยืนยันว่า การกำหนดแนวทางปฏิบัติของกกต. ยึดหลักเสรีภาพ แต่หากจะให้ชัดเจนทุกการกระทำ คงเป็นไปได้ยาก เพราะในมุมคนทำงาน ก็สามารถกำหนดได้เพียงกว้างๆไว้เป็นกรอบที่ยึดโยงกับหลักกฎหมายเท่านั้น
ในเวทีราชดำเนินเสวนาของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในวันนี้มีความพยายามยกตัวอย่างการกระทำบางประการมาให้กรรมการ กกต. อธิบายในรายละเอียดเพื่อให้ชัดเจนขึ้น
อย่างเช่นการใส่เสื้อแสดงข้อความรับหรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ ออกมาในที่สาธารณะ จะเข้าข่ายรณรงค์ที่ขัดต่อกฎหมายตามแนวปฏิบัติของ กกต.หรือไม่ ถ้าหากยึดการตีความของนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ในวันนี้ การทำแบบนี้ส่วนตัวก็สามารถทำได้ แต่ห้ามใส่มารวมตัวกันจำนวนมากรวมถึงการผลิตเพื่อขาย หรือ แจก แต่ในทางปฏิบัติ ก็แต่ในทางปฏิบัติที่เปิดโอกาสให้ทุกคน สามารถแจ้งความดำเนินคดีในฐานความผิดนี้กับใครหรือไม่ ก็มีคำถามว่า ในเวลานี้ใครจะกล้าทำเช่นนี้
หรือที่ถามกันมากๆในหมู่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียว่า หากขึ้นรูปประจำตัวหรือโพสต์ข้อความให้ข้อมูลแต่บอกชัดเจน รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ สามารถทำได้หรือไม่ ในส่วนนี้ ก็ยังไม่ชัดเจน และสถานการณ์ก็อาจไม่แตกต่างกับการใส่เสื้อ แต่ทั้งหมดกรรมการกกต. ก็ระบุว่า การพิจารณาจะต้องดูเจตนาเป็นหลัก เช่นเดียวกันหลักกฎหมายทั่วไป
ความไม่ชัดเจนที่เกิดขึ้นทำให้อดีตแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกฝ่ายต่างแสดงความกังวลว่า บรรยากาศก่อนทำประชามติจะแตกต่างจากเมื่อครั้งปี 2550 อย่างสิ้นเชิง เพราะแม้จะควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบได้ ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย แต่ก็อาจสร้างปัญหาระยะยาว ที่จะทำให้ประเทศไทยไม่หลุดจากวังวนของความขัดแย้ง
ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการเมือง สปท. ที่ร่วมเวทีเสวนาของสมาคมนักข่าวกันนายสมชัยในวันนี้ ระบุ พฤติกรรมของ กกต. ในเวนี้ คือ การตีความกฎหมายแบบกว้าง ซึ่งขัดกับหลักการที่ควรตีความกฎหมายแบบแคบ ซึ่งหากไม่สามารถทำให้ชัดเจนได้อย่างที่ว่า ก็ไม่ควรบังคับใช้กฎหมายเอาผิดในทันที โดยไม่ผ่านขั้นตอนการตักเตือน
ตามกฎหมายประชามติ คนกลุ่มเดียวที่จะสามารถแสดงความเห็นหรือถ่ายทอดเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญในที่สาธารณะอย่างไม่ผิดกฎหมาย คือ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและคณะทีมทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ชี้แจงต่อประชาชน โดยมีเนื้อหามาตรา 10 รองรับ ในทางปฏิบัติที่จำกัดการแสดงความเห็นอย่างเสรีภายใต้กฎหมายเช่นนี้ ก็ยังมีคำถามสำคัญ มีหลักประกันอย่างไร ที่จะทำให้ประชาชนสามารถได้ข้อมูลอย่างรอบด้าน ก่อนตัดสินใจ นี่น่าจะเป็นโจทย์ใหญ่ที่สุดของความขัดแย้งเรื่องนี้ในเวลานี้